กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

ผู้เขียน หัวข้อ: เปรต  (อ่าน 3751 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

มหาสุ

  • **แก้ไข**
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 749
  • กระทู้: 135
  • Thank You
  • -Given: 323
  • -Receive: 749
เปรต
« เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 08:51:17 AM »
1.ปรทัตตูปชีวีเปรต หมายถึงอะไร
          เปรตประเภทคอยรับส่วนบุญส่วนกุศลที่คนเราอุทิศให้แต่มนุษย์โลกนี้มีชื่อว่า "ปรทัตตูปชีวีเปรต"
          เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ประเภทเดียวเท่านั้น เป็นเปรตที่สามารถจักรับส่วนนบุญส่วนกุศลที่มนุษย์เราอุทิศให้ได้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงสังเกตจดจำไว้ให้ดี การที่เขาสามารถจักรับส่วนบุญได้นั้น ก็โดยเหตุที่เขาเป็นเปรตประเภทที่มีอกุศลบางเบา โมหะความโง่เขลาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษคลายออกจากจิตใจเป็นอันมากแล้ว
          เพราะฉะนั้น จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนบุญกุศล ปรทัตตูปชีวีเปรตบางตนมีความหิวโหย เพราะอดข้าวและน้ำมานานแสนนานนักหนา จึงเดินโซซัดโซเซเปะปะท่องเที่ยวไปมา พยายามนึกถึงหมู่ญาติของตนด้วยความคิดอันสับสนเลอะเลือนว่าเป็นมิตรอยู่ที่ไหนบ้าง
          ครั้นนึกได้ก็ค่อยพยุงกายเดินโซซังไป จนกระทั่งถึงบ้านญาตินั้นแล้วก็คอยอยู่ใกล้ ๆ อุตส่าห์รอคอยอยู่หลายวันหลายเดือนหลายปีโดยมีความหวังว่า
          "เมื่อใดญาติของตูทำกุศลแล้ว เขาคงจักอุทิศให้แก่ตูบ้างกระมัง"
            ครั้นเห็นเหล่าญาติมัวนั่งเดินยืนนอน ทำอะไรต่อมิอะไรให้ยุ่งไปตามประสามนุษย์ก็สุดที่จักกลุ้มใจ ได้แต่เฝ้ารำพึงอยู่ว่า
         "เมื่อใดเล่าหนา มนุษย์เหล่านี้จึงจะมีจิตเป็นกุศล ทำที่พึ่งอันแท้จริงแห่งตนด้วยการทำบุญให้ทานแล้วอุทิศส่วนกุศลนั้นให้แก่ตูเสียสักที มัวแต่วุ่นวายทำอะไรอยู่อย่างนี้ ไม่เห็นจะเป็นแก่นสารเสียเลย"
           เฝ้ารำพึงด้วยความน้อยใจอยู่อย่างนี้แล้ว ก็รอคอยต่อไป ครั้นญาติทั้งหลายทำบุญกุศลแล้ว แต่ลืมอุทิศส่วนกุศล คือไม่กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ หรือว่าได้ทำการกรวดน้ำอุทิศให้เปรตชนเหมือนกัน

แต่อุทิศให้แก่คนอื่น ไม่ได้อุทิศให้ตน ปรทัตตูปชีวีเปรตที่น่าสงสาร ก็เดินวนเวียนไปมาอยู่ ณ บริเวณนั้น ด้วยความเศร้าสร้อยผิดหวัง บางครั้งยังเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจถึงกับล้มซบสลบลง ด้วยความหิวโหยสุดประมาณ พอได้ลืมตาขึ้นก็ได้แต่เฝ้าหวังอยู่อีกต่อไปว่า
          "ครั้งต่อไปเขาคงไม่ลืมตู เขาคงจะมีจิตคิดถึงตู และอุทิศส่วนกุศลให้ตูบ้างเป็นแน่"
          แล้วก็เฝ้าแต่แลดูว่า เมื่อใดญาติของตนจักเกิดจิตเป็นกุศล ทำบุญทำทานอีกสักครั้ง ความหวังของเขาบางทีก็สำเร็จบางทีก็ไม่สำเร็จที่กล่าวมานี้ หมายถึงปรทัตตูปชีวีเปรต ที่มีญาติเป็นพวกสัมมาทิฐิกชนคนนับถือพระบวรพุทธศาสนา
          แต่ถ้าเป็นเปรตที่มีญาติเป็นมิจฉาทิฐิ ความหวังของเขาที่ว่าจะคอยอนุโมทนาส่วนกุศลนั้นย่อมไม่มีวันที่จักสำเร็จลงได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกมิจฉาทิฐิทั้งหลาย แม้จะได้ชื่อว่าทำบุญทำทานอยู่บ้างก็จริง แต่ส่วนกุศลผลทานที่เขาทำภายนอกพระบวรพุทธศาสนานั้น ไม่มีพลังแรงพอที่จักอุทิศส่งไปให้ถึงปรทัตตูปชีวีเปรตได้ แท้จริงการที่เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรตจักได้รับส่วนกุศลผลทานที่เหล่าญาติและมิตรอุทิศให้แก่ตนได้นั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักหนา เพราะว่าจะต้องประกอบพร้อมไปด้วยเหตุสำคัญ ๓ ประการ คือ
๑ ทานที่เหล่าญาติและมิตรในมนุษย์โลกนี้กระทำนั้น ต้องเป็นทานที่ได้ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลในพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกว่า "สังฆทาน"
๒. เมื่อเหล่าญาติและมิตรถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเรียกว่าสังฆทานแล้ว ต้องมีใจผ่องแผ้วตั้งจิตกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลที่ตนได้บำเพ็ญทานนั้นมุ่งไปให้แก่ปรทัตตูปชีวีเปรต
๓. ปรทัตตูปชีวีเปรตนั้น ต้องคอยรับและคอยอนุโมทนาด้วยความตั้งอกตั้งใจเป็นหนักหนา หากว่าทำเป็นมิรู้มิชี้ไม่มีใจเลื่อมใสใคร่จักอนุโมทนา ก็หาได้รับส่วนกุศลผลทานนั้นไม่
           ต้องพร้อมไปด้วยองคคุณอันเป็นเหตุสำคัญ ๓ ประการนี้ ปรทัตตูปชีวีเปรตจึงจะสามารถได้รับส่วนกุศลผลบุญที่เหล่าญาติและมิตรอุทิศให้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงวินิจฉัยใคร่ครวญดูเถิดว่า ปรทัตตูปชีวีเปรตซึ่งมีญาติและมิตรเป็นมิจฉาทิฐิ จักมีโอกาสได้รับส่วนกุศลผลทานได้หรือไม่
          ถูกแล้ว......โอกาสที่เขาจักได้รับส่วนกุศลผลทานนั้นน้อยนักหนา ถ้าจะให้พูดกันอย่างไม่เกรงใจก็ว่าไม่มีโอกาสเสียเลยนั้นแหละมากกว่า ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกมิจฉาทิฐิ ไม่มีโอกาสได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีล เพราะตนไม่มีศรัทธาเลื่อมใสแล้วอย่างนี้จะเอาส่วนกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเกิดจากการถวายสังฆทานที่ไหน ไปกรวดน้ำอุทิศให้แก่เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรต ซึ่งเป็นญาติของตนเล่า ตกลงว่าเปรตเหล่านั้นก็ต้องคอยเปล่าคอยหายอยู่เป็นเวลานานแสนนาน ยิ่งในกาลที่โลกสูญสิ้นว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา ไม่มีพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลแล้วปรทัตตูปชีวีเปรตทั้งหลายยิ่งไม่มีโอกาสที่จักได้รับส่วนกุศลผลทานได้เลยเพราะฉะนั้น
           จึงปรากฏว่าเปรตเหล่านี้บ้างต้องรอส่วนกุศลผลทานจากญาติของตนอยู่ เป็นเวลานานชั่วระยะเวลาตั้ง ๒-๓ พุทธันดรจึงจะได้รับเช่นเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นต้น และบางทีเปรตเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้รับส่วนกุศลที่พวกญาติอุทิศให้เลย ได้แต่คอยเก้อคอยหายทนเป็นปรทัตตูปชีวีเปรตไปอย่างนั้น จนกว่าจะสิ้นกรรมตายไปเอง
                ในกรณีนี้หากมีจะมีปัญหาว่า เมื่อปรทัตตูปชีวีเปรตได้ประสบโชคดีได้รับส่วนกุศลผลทานที่พวกญาติและมิตรอุทิศให้เเล้ว จักมีอะไรเกิดขึ้นแก่เขา?" คำวิสัชนาก็มีว่า เมื่อปรทัตตูปชีวีเปรตโชคดีได้รับส่วนกุศลผลบุญที่พวกญาติและมิตรอุทิศให้แต่มนุษย์โลกเรานี้แล้ว เขาก็จะมีจิตผ่องแผ้วยกหัตถ์ขึ้นท่วมหัวแล้วอนุโมทนาสาธุการส่วนกุศลนั้นด้วยใจจริง สำเร็จเป็นปัตตานุโมทนามัยกุศลกรรม และแล้วด้วยอำนาจปัตตานุโมทนามัยกุศลกรรมนั้น จักบันดาลให้เขาขาดใจตายในบัดดล พ้นจากความเป็นเปรตแล้วไปปฏิสนธิเป็นเทวดาเสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสุคติทันที


ชบาบาน

  • ชาวบ้านเพลงไทยอาวุโส
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 382
  • กระทู้: 95
  • Thank You
  • -Given: 412
  • -Receive: 382
Re: เปรต
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 12, 2013, 09:42:01 AM »
กระผมซาบซึ้งในคำแนะนำอันมีค่าดั่งเพชรดั่งทอง  เพิ่งจะรู้ว่าเปรตต้องทนทุกทรมารเช่นไร
ที่รอคอยส่วนบุญส่วนกุศลอยู่เป็นพุทธันดรกัปป์ ต่อไปจักได้ระลึกแลปฏิบัติให้ถูกต้อง ขอรับ
กระผม
                                  ด้วยจิตคารวะยิ่ง.


บันทึกการเข้า