กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

ผู้เขียน หัวข้อ: กรน…ใครคิดว่าไม่สำคัญ  (อ่าน 7070 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ชญาดา

  • กรรมการบ้านเพลงไทย
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 3031
  • กระทู้: 959
  • Thank You
  • -Given: 2112
  • -Receive: 3031
กรน…ใครคิดว่าไม่สำคัญ
« เมื่อ: มิถุนายน 29, 2013, 10:07:00 AM »
  เสียง คร่อก ฟี้ๆ ครึ้ดๆ คร่อกๆ สั้นบ้างยาวบ้างยามค่ำคืน ไม่เพียงแต่จะสร้างความรำคาญให้กับคนข้างเคียง มันยังเป็นสัญญาณบอกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ตัวอีกด้วย อัมพาต ความดันโลหิตสูง อารมณ์ไม่ดี จำอะไรไม่ค่อยได้ และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และอาจทวีความดังขึ้นได้มากกว่าปกติ หากร่างกายเพลียมาหรือดื่มเหล้า จะทำให้เกิดการหลับลึก เกิดการกรนได้มากขึ้น

             สาเหตุการกรนนี้เกิดจากการอุดตันของระบบทางเดินหายใจ ตั้งแต่จมูกไปถึงคอ ซึ่งโดยปกติเวลานอนหลับกล้ามเนื้อของทางเดินหายใจในช่องปากและลำคอจะคลายตัว ทำให้ทางเดินหายใจแคบกว่าเดิม อากาศจึงผ่านเข้าไปได้ยากขึ้น ยิ่งมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ลิ้นตก มีก้อนขวางทางเดินหายใจ โรคจมูกอักเสบ ไซนัส ริดสีดวงจมูก หรือความอ้วน หลายๆ ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ผนังคอด้านในหย่อนคล้อยทำให้ช่องคอตีบเล็ก ทางเดินลมหายใจแคบจนทำให้เกิดการกรนขึ้น

             นอกจากนี้ คุณหมอด้านคุณภาพการนอนหลับพบว่า การกรนอาจมีความสัมพันธ์กับการนอนบางท่า โดยแบ่งระดับการกรนได้เป็น 3 ระดับ

             ระดับแรก กรนในเฉพาะท่านอนหงาย และระดับสอง กรนในทุกท่านอน สองระดับนี้จะส่งผลทำให้ง่วงเหงาหาวนอน หลับบ่อยในตอนกลางวัน อารมณ์เสีย หงุดหงิดง่าย

             ระดับสามนี้ รุนแรงและอันตรายที่สุด โดยจะสามารถกรนได้ทุกท่านอน พ่วงด้วยอาการหยุดหายใจเป็นระยะ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ทั้งความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคปอด อัมพาต ความจำเสื่อม รวมไปถึงความต้องการทางเพศลดลง ซึ่งอาจลุกลามไปถึงอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย

             สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคนั้น ผลจากการวิจัยพบว่า คนเอเชียมีแนวโน้มจะนอนกรนได้ง่าย จากฐานกะโหลกที่แคบ คางสั้น ล้วนแต่มีผลทางเดินหายใจ อีกทั้งยังแบ่งได้หลายกลุ่ม ผู้มีความเสี่ยงสูงสุดคือ กลุ่มผู้ชายสูงวัย ค่อนข้างเจ้าเนื้อ ตามมาติดๆ ด้วยกลุ่มผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน



    นอกจากนั้นแล้วผู้ที่สูบบุหรี่จัด อาจทำให้เกิดการอักเสบในลำคอ เกิดเสมหะ หายใจไม่สะดวก หรือผู้ที่ใช้ร่างกายหักโหมจนเหนื่อยมากทำให้หลับสนิทหลับลึกเกินไป ทำให้กล้าเนื้อทั่วร่างกายหย่อนตัวมากกว่าปกติ ลิ้นไก่ภายในเพดานปากจะคลายตัวจนไปกระทบกับพื้นคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลง จึงเกิดอาการกรนได้เช่นกัน

             อาการนี้ยังเกิดได้ในเด็กน้อย โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นในเด็กอ้วนเท่านั้น แต่อาจเกิดจากความผิดปกติจากต่อมทอนซิล คออักเสบ จมูกอักเสบ เป็นหวัดบ่อย หรืออาจเกิดจากเนื้อเยื่อหรือโครงกระดูกหน้าและคอผิดปกติ ซึ่งการกรนในเด็กนั้น จากผลวิจัยพบว่า อาจทำให้เด็กเรียนไม่เก่ง เติบโตและพัฒนาการได้ไม่เต็มที่

             ด้านการรักษานั้นมีหลากหลายวิธี สำหรับเด็กหากเกิดจากการเป็นต่อมทอนซิลโต หรือภูมิแพ้ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหลีกเลี่ยงอาหารและน้ำเย็นจัด รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินวิตามินซี อาจใช้การล้างจมูกเข้าช่วย

             สำหรับผู้ใหญ่ถ้าเป็นขั้นต้นอาการไม่รุนแรงมากนัก ควรใช้การปรับชีวิตประจำวัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หากรู้ตัวว่าอ้วน ควรลดน้ำหนัก งดดื่มเหล้า เลี่ยงยานอนหลับ นอกจากนี้ลองเปลี่ยนท่านอนโดยเลี่ยงการนอนหงายมาเป็นนอนตะแคง อาจช่วยได้ทางหนึ่ง
    หากการอยู่ในขั้นรุนแรงต้องได้รับการรักษา โดยแพทย์อาจใช้เครื่องบรรเทาการกรนในเวลานอนเพื่อปรับความดันอากาศ ช่วยพยุงไม่ให้ลิ้นตกไปด้านหลังมากเกินไป บางรายอาจใช้การรักษาด้วยศัลยกรรมการผ่าตัด หรือเลเซอร์บริเวณคอหอย เพดานปาก และลิ้นไก่ ซึ่งใช้เวลารักษาสั้น เจ็บน้อย สามารถกลับไปทำกิจวัตรได้ตามปกติ และท้าสุด แพทย์อาจรักษาได้ด้วยคลื่นวิทยุ ในบริเวณที่ทำให้เกิดการกรนเพื่อทำให้อากาศสามารถผ่านได้สะดวกขึ้น โดยรักษาวิธีนี้ไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดใดๆ

การดูแลตัวเองสำหรับคนนอนกรน
             1.  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อ
             2.  หากอ้วนควรลดน้ำหนัก
             3.  งดดื่มสุรา
             4.  หลีกเลี่ยงยากล่อมประสาท หรือยานอนหลับ
             5.  นอนตะแคง และยกหัวสูงขึ้นกว่าเดิม
             6.  หลีกเลี่ยงการใช้หมอนสูง