« เมื่อ: กันยายน 28, 2013, 03:55:15 PM »
นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย
ความประทับใจเมื่อไปงานเผาศพ
-------------------
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ผมไปงานเผาศพที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ได้ “ความประทับใจ” มา ๒ เรื่อง
เรื่องที่ ๑ ประทับใจในทางบวก
--------------------------------
งานศพรายนี้ไม่ใช่พระราชเพลิงศพ เป็นงานประชุมเพลิงศพธรรมดา
ที่ผมประทับใจก็คือเจ้าภาพให้มีการทอดผ้าบังสุกุลเพียงคนเดียวเท่านั้นคือประธานในพิธี
ปกติงานเผาศพทางบ้านผมจะมีนักการเมืองท้องถิ่นและนักการเมืองระดับประเทศเข้ามาแสดงตัวกันขวักไขว่ไปหมด
คนพวกนี้ไม่ได้มางานศพโดยสุจริต แต่มาเพื่อหาเสียง
การ “หาเสียง” ของนักการเมืองไทยทำกันอยู่เพียงวิธีเดียวคือวิธีโฆษณา
โฆษณาด้วยวาจาหรือไม่ก็โฆษณาด้วยการแสดงตัว
แม้จะลงมือทำอะไรบ้างก็ต้องทำด้วยการโฆษณา ไม่ใช่ทำเงียบๆ (ยกเว้นทำชั่ว)
สังเกตได้ว่า ทุกคืนที่ตั้งศพบำเพ็ญกุศล พวกนักการเมืองจะไม่ไป ยกเว้นคืนที่มีคนสำคัญเป็นเจ้าภาพซึ่งมักจะมีแขกมากันมาก แต่คืนปกติแล้วจะไม่เห็นหัวของคนพวกนี้
การใช้ศพเป็นเหยื่อการหาเสียงจะเริ่มด้วยให้ลูกมือเอาพวงหรีดไปวาง ณ สถานที่ตั้งศพ
วิธีนี้ดีตรงที่โฆษณาชื่อไปได้ตลอดงานโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องไปเอง
เจ้าภาพรายนี้ประกาศงดพวงหรีดและงดเงินช่วยไว้ตั้งแต่ต้น จึงสามารถสกัดพวงหรีดหาเสียงได้เกือบหมด
แต่เฉพาะวันเผา จะมีผู้คนมาชุมนุมกันมาก นักการเมืองจึงต้องพยายามไปแสดงตัว เป็นการหาเสียงแบบชุบมือเปิบ ไม่ต้องเปลืองแรงเรียกคนมาชุมนุม
กิจกรรมที่คนพวกนี้ต้องการมีส่วนร่วมด้วยอย่างยิ่งในวันเผา ก็คือการได้รับเชิญให้ขึ้นไปทอดผ้าบังสุกุล เพราะเป็นโอกาสที่จะได้แสดงตัวอย่างวิเศษที่สุด
มีผู้เล่าว่า บางภาคของประเทศไทย งานศพบางงาน เฉพาะนักการเมืองที่เจ้าภาพจะต้องเชิญให้ขึ้นไปทอดผ้าในวันเผาศพ มีเป็นร้อย
ท่านเชื่อหรือไม่ งานเผาศพวันนั้นนักการเมืองเดินกันขวักไขว่ แต่พอระแคะระคายว่าเจ้าภาพจะเชิญประธานทอดผ้าเพียงคนเดียว ก็ค่อยๆ หายตัวไปเกือบหมด
แสดงสันดานออกมาอย่างแจ้งชัด
ผมอยากให้เจ้าภาพงานศพทั้งหลายดัดสันดานคนพวกนี้กันให้มากๆ ขอให้ช่วยกันแสดงความรังเกียจพฤติกรรมแบบนี้
อย่าหลงคิดว่าเป็นเกียรติ เพราะที่จริงแล้วเขาเหยียดเราเอาเป็นเหยื่อหาเสียง
วัฒนธรรมงานศพเสื่อมทรามลงไปก็เพราะพฤติกรรมแบบนี้ส่วนหนึ่ง
การที่แขกทอดผ้าในงานศพนั้น แต่เดิมจริงๆ เกิดจากผู้ไปช่วยงานปรารถนาจะได้บุญ จึงนำผ้าบังสุกุลของตนไปเอง
พระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) เขียนเล่าเรื่องไปเผาศพในสมัยท่านไว้ว่า คราวหนึ่งท่านไปงานเผาศพ แล้วเจ้าภาพเชิญท่านขึ้นไปทอดผ้า
ท่านบอกว่ารู้สึกกระดาก เพราะงานนั้นท่านไม่ได้เตรียมผ้าไป
สมัยผมเป็นเด็กบ้านนอก เขาเผาศพกันบนเชิงตะกอน ยังทันได้เห็นคนไปเผาศพแบกฟืนไปช่วยเผาจริงๆ
ต่อมาพอมีเตาเผา ฟืนก็แปรสภาพเป็นธูป คนไปเผาศพจะถือธูปไปคนละแหนบ
ทุกวันนี้ จากฟืน กลายเป็นธูป จากธูปกลายเป็นกระดาษหลอกว่าเป็นดอกไม้จันทน์เสียบเศษธูปเศษเทียน
จากเตรียมผ้าบังสุกุลของตัวเองไปทอดเอาบุญ
กลายเป็นไปมือเปล่า แล้วให้เจ้าภาพเชิญขึ้นทอดเอาหน้า
ผมอยากให้เจ้าภาพงานศพทั้งหลายดัดสันดานคนพวกนี้กันให้มากๆ ขอให้ช่วยกันแสดงความรังเกียจพฤติกรรมแบบนี้ งานศพจะได้กลับมาเป็นบุญบริสุทธิ์
เรื่องที่ ๒ ประทับใจในทางลบ
--------------------------------
งานนี้ตั้งเก้าอี้ไว้ล้นศาลา คนนั่งเต็มจนต้องยืนก็มี (เจ้าภาพเป็นครู เกษียณหลายปีแล้ว มีลูกศิษย์มาก)
พอเริ่มการประชุมเพลิงศพ แขกทั้งหลายลุกขึ้นยืน ผมก็ได้ยินเสียงโครมครามมาจากท้ายๆ แถว
เป็นเสียงคนงานของทางวัดลากเก้าอี้ เก็บเก้าอี้กันนะครับ
เรียกว่า พอแขกลุกปุ๊บ ก็เก็บปั๊บ
พูดให้เห็นภาพก็คือ แทบว่าจะดึงเก้าอี้ออกมาจากก้นคนนั่งกันเลยทีเดียว
ก็พอจะรู้เหตุผลอยู่ คืองานจะได้เสร็จไวๆ ปิดศาลาไวๆ คนงานจะได้กลับบ้านไวๆ
การกระทำเช่นนี้ผมเคยเห็นมาบ้างแล้วบางวัด จึงไม่แปลกใจ
แต่รู้สึกในทางไม่ดี
คำเก่าเขาเรียก “ม้วนเสื่อไล่แขก” หรืออะไรทำนองนี้ เคยถือกันว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนงานของทางวัดทำกันเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้าภาพ แต่อาจเกี่ยวกับเจ้าของวัดที่ไม่มีความละเอียดอ่อนกับมารยาทอันดีที่มีมา
การเก็บเก้าอี้ไล่แขก เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากให้ช่วยกันแสดงความรังเกียจ
และช่วยกันบอกว่า ที่ไหนทำอย่างนี้ ก็เลิกทำเสียเถิด
ที่ไหนไม่เคยทำก็อย่าทำเลยนะครับ
ได้ไม่เท่าเสีย
การเก็บกวาดศาลาจะเสร็จล่าช้าไปบ้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย
แต่ที่เสียหายอย่างยิ่งก็คือเป็นการทำลายวัฒนธรรมที่ดีของเจ้าของบ้านไปอีกอย่างหนึ่ง จนของดีๆ จะไม่เหลืออยู่แล้ว
การศึกษาก็ต่ำ
วัฒนธรรมก็เตี้ย
แล้วจะเหลือ เ... อะไรไปอวดชาวโลกเขา ?
_______________________________________________________________________________________