........"น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะกับที่นี่มากที่สุด".......
1. เลือกดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน :
น้ำทําหน้าที่ในการกําจัดของเสียออกจากร่างกาย และอีกทั้ง
ยังให้ความชุ่มชื้นแก่เซลล์ โดยปกติเราควรดื่มน้ำวันละ 8
แก้วขึ้นไป การดื่มน้ำาน้อยนอกจากจะทําให้ผิวไม่สดใสแล้ว
ยังส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ทํางานหนักอีกด้วย
2. รับประทานผลไม้สดแทนขนมหวาน :
ผลไม้นั้นมีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย
ผลไม้มีรสหวานจากฟรักโทส (fructose) และกลูโคส สามารถ
ช่วยทําให้ร่างกายสดชื่นโดยที่ไม่ต้องรับน้ำตาลในปริมาณ
ที่มากเกินไป
3. เลือกชนิดของขนมหวานที่จะรับประทาน :
ในกรณีที่หลีกเลี่ยงการรับประทานขนมหวานไม่ได้ แนะนําให้
เลือกชนิดของอาหารที่จะนํามาประกอบเป็นของหวาน ยก
ตัวอย่างเช่น น้ำแข็งไสหรือหวานเย็น ควรรับประทานควบคู่
กับธัญพืชที่มีใยอาหารสูง ประเภท ลูกเดือย ถั่วแดง ถั่วเขียว
ข้าวโพด เป็นต้น ใยอาหารมีส่วนช่วยในการชะลอการดูดซึม
น้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ทําให้อิ่มท้องได้นาน ลดความอยากของ
หวาน และลดความอ้วนได้ดีรับประทานผลไม้สดแทนขนม
4. หลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการเติมนํ้าตาลลงในอาหารและเครื่องดื่ม:
ในที่นี้หมายถึงน้ำตาลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาลทราย
น้ำตาลทรายแดง น้ำผึ้ง ไซรัป และไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป
(high fructose corn syrup) หรือ น้ำตาลที่สกัดจากข้าวโพด
เป็นต้น
5. บ้วนปากทุกครั้งหลังรับประทานของหวาน :
เนื่องจากความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงความหวานจากต่อมรับรส
ชาดภายในช่องปากจะส่งผลให้เกิดความอยากอาหาร และยัง
เป็นสาเหตุหลักที่ทําให้ฟันผุ เพราะแบคทีเรียที่ยังคงหลงเหลือ
อยู่หลังจากรับประทานอาหารจะทําลายผิวเคลือบฟัน
6. อ่านฉลากโภชนาการข้างบรรจุภัณฑ์ :
หากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีปริมาณน้ำตาลมากกว่า 15 กรัม (3
ช้อนชา) ก็ควรจะหลีกเลี่ยง
7. ให้เวลาร่างกายในการปรับตัว :
ร่างกายของเราจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน ในการปรับสภาพลิ้น
ที่ติดรสชาติอาหารหวาน ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็จะทําให้ความ
ต้องการน้ำตาลลดลง
ถึงแม้ว่าการรับประทานน้ำตาลมากเกินจะเป็นปัจจัยของโรค
เรื้อรังต่างๆ และยังเป็นสาเหตุของความชราก่อนวัยอันควร
อย่างไรก็ตามน้ำตาลก็ยังเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และจําเป็นต่อ
ร่างกาย โดยมีทําหน้าที่หลักในการให้พลังงาน อีกทั้งยังเป็น
อาหารสมองสําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อเกิดภาวะน้ำตาล
ในเลือดต่ำ การดื่มน้ำหวานหรืออมลูกอมก็สามารถทําให้
อาการดีขึ้นได้ ในผู้ที่สูญเสียเหงื่อหรือมีอาการท้องเสีย การ
รับประทานของหวานก็จะทําให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ไม่อ่อนแรง
เพราะฉะนั้นหากเราเลือกรับประทานนํ้าตาลในปริมาณที่
เหมาะสมให้ถูกต้องตามปัจจัย แวดล้อมของแต่ละบุคคลอัน
ประกอบไปด้วยอายุ เพศ นํ้าหนัก ส่วนสูง และกิจกรรมระหว่าง
วันก็จะทําให้ร่างกายไม่ขาดสมดุลและไม่ก่อให้เกิด
"ความชราก่อนวัยอันควร"
ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร @ Rama
โดย ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล (DrPH, RD)
อาจารย์ประจําภาควิชาโภชนวิทยา
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล