« เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2013, 07:35:54 AM »
วันหนึ่งคุณป้าคิยูมิ ซาโต วัย ๕๒ ปี มองกระจกพยายามทำท่ายิ้ม แต่แล้ว
ก็เพิ่งรู้ตัวว่า ให้ตายเถอะ หล่อนไม่รู้จริงๆ เลยว่า การยิ้มเป็นอย่างไร
คุณป้าแกไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร แค่เกิดในครอบครัวที่ยิ้มยาก อันเป็นผล
จากสังคมญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยระเบีบยแบบแผน กฎเกณฑ์และพิธีกรรมต่างๆ
มากมาย จนกระทั่งคนในสังคมรู้สึกอึดอัดกันหมด
เวลาเจอหน้ากันแทนที่จะยิ้มแป้นให้กัน กลับทำหน้าเครียด หน้าบอกบุญ
ไม่รับโดยไม่ตั้งใจ
ส่วนคนที่อยู่ในวัยทำงาน ก็เคร่งเครียดกับการทำงาน ที่ต้องแข่งขันกัน
อย่างรุนแรง จนลืมไปว่าการยิ้มแย้มเป็นอย่างไร
พอคุณป้าคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองยิ้มไม่เป็นซะแล้ว สิ่งแรกที่คิดได้ก็คือ.ต้อง
ไปเข้าคอร์สอบรมอะไรสักอย่างที่สอนให้ "ยิ้ม" ได้
เพราะทุกวันนี้การเข้าคอร์สอบรมอะไรต่างๆ ดูจะเป็นทางออกทางเดียวที่
คนในประเทศนี้นึกออกได้
คุณป้าคิยูมิ จึงใช้เวลาไปเข้าคอร์ส "หัดยิ้ม" ที่สถาบันการยิ้มแผนใหม่ ที่
เมือง โอซาก้า
คุณฮิโรชิ ไอนู ผู้ก่อตั้งสถาบันกล่าวว่า
ทุกวันนี้คนญี่ปุ่นมีปัญหาว่าไม่ค่อยยิ้ม แม้นกระทั่งคนในครอบครัวเดียว
กัน เมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานๆ ความสัมพันธ์ก็จะจืดจางลงจนแทบไม่มีเสียง
หัวเราะในบ้านเลย แต่นักเรียนของเราก็คาดหวังว่า การยิ้มจะช่วยให้ความสัม
พันธ์ที่ดีกลับคือมาได้
จึงไม่น่าแปลกใจที่สถาบันแห่งนี้จะมีนักเรียนมากกว่า ๕๐ คน ตั้งแต่ระ
ดับแม่บ้านไปจนถึงประธานบริษัทชื่อดังที่ใครๆ ก็รู้จัก
ทุกวันพุธที่สามของเดือน นักเรียนเหล่านี้จะใช้เวลา ๒ ชั่วโมง ฝึกการ
ใช้ริมฝีปาก ให้ยิ้มได้ทุกแบบ ตั้งแต่ยิ้มแบบธรรมดา ยิ้มยิงฟัน อมยิ้ม.......ไป
จนถึง ..ยิ้มแบบ "โมนาลิซา" ...โดยมีกระจกส่องหน้าเป็นเครื่องมือสำคัญใน
การส่องดูหน้าตัวเองเวลายิ้ม ว่ายิ้มแล้วน่ารักน่าชังขนาดไหน
นั่นประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีเศรษฐกิจดีระดับต้นๆ ของโลก
ประเทศไทยที่รักของเราครั้งหนึ่งได้ชื่อว่า "สยามเมืองยิ้ม" แต่ปัจจุบันนี้
ผลพวงจากสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ทำให้รอยยิ้มเริ่มหายไปจากใบ
หน้าของคนไทยแล้ว
กะว่าจะให้ยิ้มน้อยๆ กับเรื่องของคุณป้าคิยูมิ แต่ไหงมาเครียดกับ......ได้
จบดีกว่า..
_______________________________________________________________________________________