สโมสรบ้านเพลงไทย > ห้องสันทนาการ
นีกะห์..การแต่งงานแบบอิสลาม
ลุงชัยนรา:
....สวัสดีครับเพื่อนๆร่วมบ้านเพลงไทยที่รักทุกๆคน..วันนี้ขอนำเสนอประเพณีหลอมรวม คนสองคนจากที่ต่างฐานะ ต่างพื้นฐาน..มาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว โดยมีความรัก ความเข้าใจเป็นทุนรอน นั่นคือ..พิธี นีกะห์ หรือพิธีแต่งงาน ของเพื่อนชาวมุสลิม เราแตกต่างแต่สร้างความสวยงาม ด้วยการอยู่ร่วมกันด้วย..สันติ..
....ประเพณีการแต่งงานของมุสลิมหรือเรียกตามภาษาถิ่นว่า “มาแกปูโล๊ะ “.ภาษามลายูถิ่น.. มาแก-กิน, ปูโล๊ะ-ข้าวเหนียว การกินเหนียว/งานแต่งงาน โดยมีพิธีนิก๊ะห์ (แต่งงานตามพิธีของศาสนาอิสลาม)
ช่วงเวลา การแต่งงานจะกระทำกัน ๓ ขั้นตอน คือ
๑. การสู่ขอ โดยฝ่ายชายจะให้ฝ่ายญาติผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงล้วน ๆ เป็นเถ้าแก่ไปทาบทามสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง
๒. การหมั้น เมื่อถึงกำหนดหมั้นฝ่ายชายจะจัดเถ้าแก่นำขบวนขันหมากไปยังบ้านฝ่ายหญิง โดยชายผู้จะเป็นเจ้าบ่าวไม่ได้ไปด้วย
๓. พิธีแต่งงาน โดยทั่วไปจะจัดหลังจากหมั้นและไม่เกิน ๒ สัปดาห์ โดยถือฤกษ์ ๔ -๕ โมงเย็นของวันใดวันหนึ่ง
บัลลังก์ให้คู่สมรสนั่งทำพิธี[/color][/size]
พิธีการแต่งงานของมุสลิมจะไม่นิยมแต่งในช่วงที่ประกอบพิธีฮัจญ์
ความสำคัญ
เพื่อเป็นการสัมพันธ์ของมนุษยชาติ ซึ่งหลักการต่าง ๆ
จะไม่หนีหรือหลักเลี่ยงความเป็นจริง
จึงถือได้ว่าเป็นทางสายกลางที่ทำให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ในการเป็นคนหรือสัตว์ประเสริฐ
พิธีกรรม
๑. การสู่ขอ
ในอดีตการสู่ขอฝ่ายชายจะให้ญาติผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงล้วน
ไปสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงตกลงก็จะได้กำหนดวันหมั้น
การตอบตกลงของพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะไม่ขอความคิดเห็นจากบุตรสาวของตนเลย
แต่ในปัจจุบันผู้ไปสู่ขอคืนมารดาหรือญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายต้องไปสู่ขอกับผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง
พร้อมกับมีของฝากฝ่ายหญิงอาจเป็นขนมหรือผลไม้ก็ได้
เมื่อไปถึงแล้วก็บอกว่ามีธุระที่จะขอปรึกษาด้วย
แล้วสอบถามว่าผู้หญิงที่ต้องการไปสู่ขอมีคู่หรือยัง
ถ้าฝ่ายหญิงบอกว่าไม่มีก็จะบอกว่าต้องการสู่ขอให้กับใคร
ฝ่ายหญิงจะไม่ตอบตกลงในตอนนั้น และจะไม่ตอบรายละเอียด
แต่จะขอเวลาปรึกษากันระหว่างญาติ ๆ ประมาณ ๗ วัน
ในช่วงนั้นฝ่ายหญิงอาจจะส่งคนที่นับถือไปบอกฝ่ายชายในกรณีที่ตกลง
ถ้าไม่ตกลงก็จะเงียบเฉยให้เป็นที่รู้เอาเอง
เมื่อฝ่ายหญิงตกลงฝ่ายชายก็จะไปตกลงเรื่องวันแต่งงาน สินสอด
ของหมั้นและมะฮัร
๒. การหมั้น ในอดีตเมื่อถึงวันกำหนดหมั้น
ฝ่ายชายจะจัดเถ้าแก่ขบวนขันหมากไปยังบ้านฝ่ายหญิง
ฤกษ์แห่ขันหมากใช้เวลาตอนเย็นประมาณ ๔-๕ โมงเย็น "ขันหมาก" ประกอบด้วยพาน
๓ พาน คือ พานหมากพลู พานข้าวเหนียวเหลือง และพานขนม
แต่บางรายที่เป็นผู้มีฐานะดีก็อาจจะเพิ่มพานขนมขึ้นอีกก็ได้
พานหมากพลูนั้นจะมีเงินสินสอดใส่ไว้ใต้พานหมากพลู เงินจำนวนนี้เรียกว่า
ลาเปะซีเฆะ หรือ เงินรองพลู ส่วนพานขนมนั้นประกอบด้วย ขนมก้อ (ตูปงปูตู)
ข้าวพองและขนมก้อนน้ำตาล (ตูปงฮะลูวอคีแม) เป็นต้น
ขันหมากดังกล่าวทุกพานคลุมด้วยผ้าสีสวย
เมื่อขบวนขันหมากไปถึงบ้านฝ่ายหญิงก็ให้การต้อนรับ
เถ้าแก่ฝ่ายชายจะบอกกล่าวขึ้นว่า "วันนี้
(ออกชื่อเจ้าบ่าว)ได้เอาของมาหมั้น (ชื่อเจ้าสาว) แล้ว"
เมื่อเถ้าแก่ฝ่ายหญิง
รับของหมั้นแล้ว เถ้าแก่ฝ่ายชายจะถามต่อไปทันทีว่า
"เงินหัวขันหมากนั้นเท่าใด"
ซึ่งเถ้าแก่ฝ่ายหญิงจะต้องตอบไปจากนั้นเป็นการปรึกษาหารือถึงกำหนดวันแต่งงาน
วันจัดงาน และการกินเลี้ยง และก่อนฝ่ายชายจะกลับฝ่ายหญิงจะนำผ้าโสร่งชาย
(กาเฮงแปลก๊ะ) หรือผ้าดอกปล่อยชาย (กาเฮงบาเต๊ะลือป๊ะ)
การเลี้ยงฉลองการแต่งงาน
หลังแต่งงานสามารถจัดงานเลี้ยงฉลองได้ เรียกว่า "วะลีมะฮ" ซึ่งจัดเลี้ยงที่บ้าน สโมสร หรือโรงแรมก็ได้ ตามสะดวก การเลี้ยงฉลองอาจไม่ต้องทำในวันเดียวกับวันนิกาหก็ได้ แต่การเลี้ยงฉลองนั้นต้องไม่เกิน 2 วัน เพราะอิสลามเคร่งครัด ในเรื่องของงานเลี้ยงที่ฟุ่มเฟือย โดยมีคำกล่าวไว้ว่า "งานเลี้ยงที่เลวที่สุดคือ งานเลี้ยงพิธีนิกาห และเลี้ยงเฉพาะคนรวย" เพราะศาสนาอิสลามเชื่อว่าทุกคนเท่าเทียมกันไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ
อย่างใดอย่างหนึ่งใส่พานที่ใส่หมากพลูมาหมั้น
ส่วนพานข้าวเหนียวเหลืองและพานขนมก็จะได้รับขนมจากฝ่ายหญิงใส่พานนำกลับ
การหมั้นในปัจจุบันจะทำได้ ๒ ลักษณะคือ
หมั้นก่อนแต่งทำพิธีนิกะห์(การแต่งงานตามหลักศาสนา)
หรือหมั้นหลังทำพิธีนิกะห์ ซึ่งจะเป็นผลดีและมีข้อห้ามต่างกัน
กล่าวคือถ้าหมั้นก่อนแต่งงานเจ้าบ่าวจะถูกต้องตัวเจ้าสาวไม่ได้
ส่วนการหมั้นหลังพิธีนิกะห์แล้ว เจ้าบ่าวสามารถถูกต้องตัวเจ้าสาวได้
เจ้าบ่าวจึงสวมของหมั้นให้กับเจ้าสาวได้และสามารถจัดพิธีนั่งบัลลังก์เพื่อให้ญาติทั้ง
๒ ฝ่ายร่วมแสดงความยินดีได้อย่างสมเกียรติ
ส่วนขันหมากมีการจัดคล้ายกับในอดีต
๓. พิธีแต่งงาน ในอดีตพิธีแต่งงานโดยทั่วไปจะจัดหลังหมั้นแล้วไม่เกิน ๒
สัปดาห์ โดยถือฤกษ์๔-๕ โมงเย็นของวันใดวันหนึ่ง
ฝ่ายเจ้าบ่าวจะยกขันหมากไปยังบ้านเจ้าสาว
ขบวนดังกล่าวนี้ประกอบด้วยเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าว และญาติผู้ใหญ่ประมาณ
๕-๖ คน การไปคราวนี้ไม่มีข้าวของอะไรต้องนำไป นอกจากเงินหัวขันหมาก
(จะต้องเป็นจำนวนเลขคี่) ซึ่งใส่ไว้ในขันหมากทองเหลืองใบเล็ก ๆ
ห่อหุ้มด้วยผ้าเช็ดหน้าให้เจ้าบ่าวถือไป และกล้วยพันธุ์ดี เช่น
กล้วยหอมอีก ๒-๓ หวี เท่านั้น
ในวันดังกล่าวทางบ้านเจ้าสาวก็เตรียมการต้อนรับโดยเชิญโต๊ะอิหม่ามเป็นประธานในพิธีแต่งงาน
พร้อมด้วยคอเต็มและผู้ทรงคุณธรรมอีก ๑ คน เพื่อเป็นสักขีพยาน
ผู้ทรงคุณธรรมดังกล่าวนั้นจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือบุคคลอื่นก็ได้
ข้อสำคัญอยู่ที่คน ๆ นั้นต้องเป็นที่ยอมรับนับถือว่าเป็นคนมีศีลสัตย์
เมื่อหัวขันหมากไปถึงบ้านเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวก็ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้เจ้าบ่าวต้องส่งมอบห่อเงินหัวขันหมากให้กับโต๊ะอิหม่าม
เพื่อโต๊ะอิหม่ามจะได้ตรวจนับให้ถูกต้องครบถ้วนและควบคุมเงินหัวขันหมากนั้นไว้
จากนั้นก็มีการร่วมรับประทานอาหารกัน
สำหรับตัวเจ้าสาวนั้นเก็บตัวอยู่ในห้องหรือในครัวเท่านั้น
หลังจากการเลี้ยงอาหารผ่านไปแล้วเจ้าบ่าวไปนั่งขัดสมาธิลงตรงเบื้องหน้าโต๊ะอิหม่าม
โอกาสนี้พ่อเจ้าบ่าวจะไปถามเจ้าสาวว่ายินยอมหรือไม่
การถามตอบในครั้งนี้จะมีพยานอยู่ใกล้ ๆ
หากหญิงสาวไม่ยินยอมก็จะให้ญาติผู้ใหญ่ที่สามารถอ้อนวอนเกลี่ยกล่อมจิตใจสาวจนยอมเข้าพิธี
เมื่อตกปากยินยอมพยาน ๒ คน รับทราบด้วยแล้วก็ดำเนินการขั้นตอนต่อไป
ดำเนินการขั้นต่อไปโดยพ่อหรือผู้ปกครอง (ต้องเป็นชาย) ของเจ้าสาว "วอเกล์"
กับโต๊ะอิหม่าม บิดาจะต้องเป็นผู้จัดการแต่งงานให้บุตรสาว
ของตน แต่เมื่อผู้เป็นบิดาไม่มีความรู้
ความเข้าใจในพิธีปฏิบัติก็ให้มอบหมายให้ผู้อื่น
ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจปฏิบัติแทน
จากนั้นจะมีการท่องเที่ยวหรืออ่านศาสนบัญญัติที่เกี่ยวกับการแต่งงานเรียกว่า
"บาจอกุฐตึเบาะห์ ซึ่งอ่านโดยคอเติบหรือโต๊ะอิหม่ามจบจาก
"บาจอกุฐตึเบาะห์" แล้ว
โต๊ะอิหม่ามก็ยื่นมือไปจับปลายนิ้วมือของเจ้าบ่าวนิ้วหนึ่ง
นิ้วใดก็ได้เพียงนิ้วเดียวพร้อมกับเริ่มประกอบพิธีแต่งงานให้โดยกล่าววาจาเป็นสำคัญ
โดยโต๊ะอิหม่ามก็จะกล่าวดังนี้ "ยา…อับดุลเลาะห์ อากูนิกะห์ อากันดีเกา
บาร์วอเกล์วอ ลีบาเปาะญอ อากันดากู ดืองันฮาลีเมาะ เป็นตีมูฮำมัด อีซีกะห์
เว็นซะบาเญาะญอ สะราโต๊ะตฆอปูและ ตีโยโก๊ะตูนา"
แล้วเจ้าบ่าวต้องกล่าวตอบรับตาม "อากูตรีมอ นิกะห์ญอ คืองันอีซีกะห์
เว็บซะบาเญาะ ตึรึซึโมะอีตู" แปลว่า ได้ยอมรับการ
แต่งงาน ตามจำนวนเงินหัวขันหมากดังกล่าว
สาระ
ตามกฏเกณฑ์อิสลามนั้นการสมรสหมายถึง
ชายหญิงได้ผูกจิตสัมพันธ์เพื่ออยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยา
โดยถูกต้องตามพิธีนิกะห์ คำว่าแต่งงานภาษาอาหรับเรียกว่า "นิกะฮ์"
มีความหมายว่า การกระทำพิธีแต่งงานภายใต้หลักเกณฑ์
และข้อบังคับแห่งศาสนาอิสลาม หรือ คำว่า นิกะห์ คือ
การผูกปิติสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง เพื่อเป็นสามีภรรยากัน
โดยพิธีสมรสตามหลักการของศาสนาอิสลามตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม
คำว่าแต่งงานในศาสนาอิสลาม จึงเรียกว่านิกะห์ ซึ่งชายคนหนึ่ง
จะแต่งงานกับหญิงได้อย่างมากที่สุดในขณะเดียวกันอย่างที่สุด ๔ คน คือ
หมายความว่า ชายคนหนึ่งจะมีภรรยาได้ในขณะเดียวกัน อย่างมากที่สุด ๔ คน
ระหว่างทำพิธี
แต่มีข้อบังคับว่าชายผู้นั้นจะต้องเลี้ยงดู
ให้ความยุติธรรมกับภรรยาทั้งหมดได้
ถ้าไม่มีความสามารถแล้วก็ให้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ขอพรจากผู้ใหญ่[/size][/color][/color][/size]
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.lib.ru.ac.th/journal/islamic-culture/valimah.html
ขอขอบคุณ อ.ชาติ..ผู้สอนวางภาพ
ชญาดา:
ประเพณีมีมาแต่โบราณ ที่สืบทอดกันมา ก็เพิ่งทราบค่ะว่ามีรายละเอียดดังกล่าว ขอบคุณที่นำมาให้อ่านนะคะ
สมภพ:
งานใหญ่ต้องแกงแพะเลี้ยงแขก
ขอบคุณเรื่องราวดีๆ จาำกลุงชัยครับ เรื่องที่เพื่อนต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมไม่มีโอกาสได้เห็น
น้องนางบ้านนา:
ขอบคุณข้อมูลดีๆที่เอามาฝากมากมายครับ.............
เรื่องเกี่ยวกับพี่น้องชาวอิสลาม..เคยเห็นแต่ครั้งที่ไปเป็นล่ามที่ฐานเรดาด์ไอ้กันที่กรุง-ตาอีฟ-ซาอุ.....
....จำได้ว่าเขาจะ-ทำละหมาด(พวกเพื่อนชาวซาอุจะเรียก-ซาร่า-)วันล่ะ5ครั้ง...
.....ในสมัยนั้นหากมีชาวต่างชาติที่มาเที่ยวในบริเวณมัสยิดที่เขา-ซาร่า-จะถูกตำรวจต้อนไปอยู่ในบรีเวณลานกว้างที่เขากำหนด...ร้านค้าก็จะปิดทำการ....จนกั่วพิธีจะเสด...
.....
เผ่าพงษ์ ปัตตานี:
ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นมุสลิมบ้านอยู่ห้าแยกเกาะยอ แกจะเปลี่ยนเมียทุกวงรอบ 5-7 ปี แล้วแต่โอกาสจะอำนวย เนื่องจากแกจะเป็นคนค่อนข้างฐานะดีคนหนึ่งในย่านนั้น เป็นคนที่สบายๆไม่ค่อยเคร่งศาสนาเหมือนกับเพื่อนๆผมที่ปัตตานี เวลาผมไปหาแกที่บ้านนั่งคุยสับเพเหระกันตามประสา แกมักจะชมผมเสมอว่ารู้เรื่องศาสนาอิสลามมากกว่าแกเสียอีก สำหรับแกเองท่องได้บทเดียวจำแม่นคาดคือ "บทนิก๊ะห์" จนอีหม่ามไม่ต้องบอกบท 5555 (น่าจะตัดหางปล่อยมัสยิดเสียให้เข็ด)
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version