กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

ผู้เขียน หัวข้อ: พระในบ้าน  (อ่าน 8825 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ลุงชัยนรา

  • ความเปลี่ยนแปลง เป็นนิรันดร์
  • ชาวบ้านกิตติมศักดิ์
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 3715
  • กระทู้: 910
  • Thank You
  • -Given: 3245
  • -Receive: 3715
  • ชีวิตนี้ยอมพลี เพื่อแผ่นดิน
พระในบ้าน
« เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2013, 09:13:47 AM »
พระในบ้านคือพ่อแม่
              ความเป็นพระในบ้านของพ่อแม่นั้น จะมีสักกี่คนกัน ที่รู้เพราะเรามักจะมุ่งหากันแต่พระนอกแบ้าน พระที่ไม่มีลมหายใจแม้จะต้องซื้อหาด้วยราคาแพง แม้จะต้องลงทุนลงแรงมากมายกว่าจะได้มา และมักจะเฝ้าปรนเปรอหรือบูชาแต่พระนอกบ้านเช่นนั้นเท่านั้น แต่พระในบ้านซึ่งมีลมหายใจอยู่หรือใกล้ชิดอยู่กับตัวเราตลอดเวลาเรากลับมองข้ามไปเสีย เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นคนอยู่ในวัยไหน ฐานะอย่างไร ย่อมเป็นเหมือนๆ กันได้ทุกที เหมือนกันในข้อที่ไม่รู้จักว่า พระในบ้านคือใคร มีเรื่องที่เล่ากันสืบๆ มาว่า มีคุณนายคนหนึ่งเป็นคนใจบุญพอควรทีเดียว ดูได้จากการที่ตักบาตรทุกเช้า และหลังจากนั้นก็จะถือสำรับกับข้าว ที่บรรจงจัดอย่างประณีต นำไปวัดแห่งหนึ่งทางฝั่งพระนคร เพื่อถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ผู้เป็นเจ้าอาวาส เพราะมีความเคารพนับถือในจริยาวัตรของท่านและชอบฟังท่านคุย หรือเล่าเรื่องอะไรมิอะไรให้ฟัง เรียกว่า มีเวลาว่างหลังจากตักบาตรตอนเช้าแล้ว คุณนายคนนั้นเป็นต้องมาวัดให้ได้ทุกวัน อาหารที่จัดมาก็ประณีตทุกอย่างเพื่อให้สมกับนำมาถวายสมเด็จฯ อยู่คุยกับท่านพอสมควรแล้วก็กราบลากลับ ทำอยู่เช่นนี้เป็นประจำ
              วันหนึ่งหลังจากคุณนายกลับแล้ว พระหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฎิของสมเด็จฯ เข้าไปเรียนถวายว่าคุณนายคนนี้ใจบุญสุนทานจริง แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนใจแคบ มีแม่อยู่คนเดียวก็ปล่อยให้อดๆ อยากๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ ปล่อยให้อยู่ห้องแคบๆ หลังบ้านส่วนตัวเองพร้อมลูกๆ อยู่บนตึกใหญ่สะดวกสบายทุกอย่าง เขาว่าตอนอยู่บ้านนั้นพูดจากับแม่ฟังไม่ค่อยได้เลย ผิดกับที่มาพูดอยู่ที่วัดจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่จะเดินออกมาหน้าบ้านบ้างก็ไม่ได้กลัวเขาจะเห็นว่ายังมีแม่แก่อยู่ในบ้านอายเขา คนเขามาเล่าให้ฟังหลายรายแล้ว เท็จจริง อย่างไรไม่ทราบได้ ฝ่ายสมเด็จฯ ท่านได้ฟังพระว่าก็ไม่พูดอะไร นิ่งฟังเฉยอยู่ ต่อมาอีกหลายวัน ท่านไปกิจนิมนต์นอกวัด และบังเอิญขากลับต้องผ่านทางบ้านคุณนายด้วย ท่านจึงแวะบ้านคุณนายก่อน คุณนายดีใจมาที่สมเด็จฯ มาถึงที่บ้าน เพราะไม่เคยมีพระมาที่บ้านเลยในยามปกติ นอกจากเวลาทำบุญเท่านั้น จึงถือว่าเป็นนิมิตมงคลอย่างสูงสุดที่พระขั้นสมเด็จฯ มาเหยียบบ้าน จึงเรียกลูกหลานเข้ามากราบไหว้ ท่านเป็นการใหญ่ ให้ท่านอวยชัยให้พรลูกหลาย แล้วชวนท่านคุยเรื่องต่างๆ มากมาย สมเด็จฯ ท่านก็คุยบ้าง ถามสุขทุกข์บ้างตามธรรมเนียม ตอนหนึ่งสมเด็จฯ ท่านถามคุณนายว่า พระในบ้านของคุณนายมีบ้างไหม คุณนายได้ยินเข้าก็รีบตอบว่าพระในบ้านของตัวมีมากมายเป็นพระเก่าๆ ทั้งนั้น สมัยสุโขทัยก็มีสมัยเชียงแสนก็มี พร้อมกับอวดใหญ่ และชวนสมเด็จฯ ขึ้นไปดุห้องพระข้างบน (คงไม่มีแผนอะไร?) สมเด็จฯ ท่านทราบว่าคุณนายยังไม่เข้าใจ จึงถามขึ้นอีกว่าได้ทราบว่าคุณนายมีแม่อีกคนหนึ่งเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน? คุณนายได้ยินเข้าถึงกับเสียวแปลบเข้าไปในหัวใจ ไม่นึกว่าจะถูกจู่โจมด้วยคำถามชนิดฟ้าแลบอย่างนี้จากสมเด็จฯ จะตอบไปตามตรงว่า แม่อยู่หลังบ้าน ก็กลัวสมเด็จฯ จะเดินไปดู และจะเห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่ แล้วท่านจะว่าเอาได้ ก็เลยอีกๆ อักๆ ตอบส่งๆ ไปว่า ตอนนี้แม่ไม่อยู่ ออกไปเยี่ยมญาติคงอีกนานกว่าจะกลับ แน่ะ! คอยกันท่ากันไว้เสร็จ กลัวสมเด็จฯจะนั่งคอยพบ สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ต่อความอีก เพราะเริ่มจะรู้อะไรเป็นอะไรแล้ว พอสมควรแก่เวลาท่านก็ลากลับ หลังจากนั้นก็พบคุณนายอีกเป็นประจำเหมือนเคย จนวันหนึ่งท่านเห็นคุณนายยิ้มแย้มแจ่มใสดี พูดคุยรื่นเริงเรื่องการทำบุญสุนทาน และยังมีเวลาอีกพอควรที่จะถึงเวลาเพล ท่านจึงถามขึ้นมาว่า “พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยดีแล้วหรือ ?” คุณนายก็ตอบอย่างยิ้มย่อง ด้วยความเข้าใจผิดเช่นเคยว่า “เจ้าค่า...อิฉันจัดถวายท่านเรียบร้อยทุกวันแหละค่ะ ก่อนจะมาถวายท่านนี่ อิฉันต้องจัดถวายในห้องพระก่อน จุดธูปเทียนบูชาท่านเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำมาถวายท่านทีหลัง ท่านไม่ต้องห่วงหรอก อิฉันทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร” อวดสรรพคุณของตัวไปโน่นเลย “อาตมามิได้หมายถึงพระพุทธรูปนะโยม พระในบ้านที่อาตมาถามนี่หมายถึง พระที่มีลมหายใจ คือ แม่ผู้มีพระคุณของโยมน่ะ”
              ถึงตอนนี้คุณนายนิ่งเป็นรูปปั้นไปดดยอัตโนมัติส่วนสมเด็จฯท่านก็พูดต่อไปเรื่อยๆ คนเราน่ะมีพระอยู่ในบ้านทุกคน พระที่มีลมหายใจนะ บางคนมีพ่อ บางคนเหลือแม่ บางคนโชคดีเหลือทั้งพ่อทั้งแม่ในบ้าน นับเป็นบุญมหาศาล ใครเหลือเท่าไรก็ควรจะได้เอาตาดูเอาหูใส่ท่านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ ปล่อยให้ท่านอดๆอยากๆเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไร ก็ดูแลท่านบ้าง ท่านแก่แล้วท่านกินท่านใช้จะหมดเปลืองไปสักเท่าไรเชียว ใช่ไหมโยม? “ค่ะ ใช่” จำใจเงยหน้ามองตาสมเด็จฯ แล้วตอบ “โยมก็เหมือนกัน.... สมเด็จฯ พูดตรงๆ เลยคราวนี้เรียกว่าหลังจากขึ้นสายมานานแล้ว ตอนนี้ก็ปล่อยธนูออกไปเลยทีเดียว เพราะท่านทราบว่าบางคนเรานั้นต้องว่าต้องสอนกันตรงๆ จึงจะรู้สึก “ทราบว่ามีแม่อยู่คนเดียวเท่านั้น แต่โยมไม่ค่อยสนใจในความเป็นอยู่ของท่านเท่าไรนัก ปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ อับทึบแทบไม่มีอากาศหายใจอยู่หลังบ้าง ทั้งๆ ที่ท่านเป็นเจ้าของบ้านที่ดินทั้งหมด ที่โยมอยู่โยมอยู่อย่างสบายแต่ปล่อยให้ท่านอดๆ อยากๆ ไม่สงสารท่านบ้างหรือ?” ตอนนี้คุณนายนิ่งเงียบจริงๆ ตอบไม่ได้ เพราะก้อนสะอื้นกำลังแล่นขึ้นมาจุกคอ “โยมจัดอาหารถวายพระในห้องพระได้ทุกวัน แต่พระในบ้านอีกองค์หนึ่งคือแม่ โยมไม่เคยจัดหาให้และตอนที่จัดหามาให้อาตมานี่ อาตมาสังเกตดู โยมจัดหามาอย่างดีทีเดียวทำก็ประณีตบรรจง เมื่อก่อนอาตมาไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไรก็ฉันของโยมไปตามปกติ แต่ตอนนี้บอกตรงๆ ว่ามันกลืนไม่ค่อยลงมาหลายวันแล้ว เพราะอาตมารู้ว่าอาตมานี่เป็นพระในวัดไม่ควรจะเอาเปรียบ พระในบ้านของโยมเกินไปเลยกลืนไม่ลง อาตมาน่ะ อย่างไรก็ได้ พระเราจะเลือกฉันแต่ที่ดีๆ ไม่ได้ โยมลองคิดดู...” ท่านเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ “อาตมาคิดมาหลายวันแล้ว ว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีสุดท้าย ตกลงใจว่าพูด เพราะเห็นใจแม่ของโยม สงสารโยมเพราะผลการกระทำของโยมจะตกแก่ตัวโยมต่อไป และลูกหลานของโยมเห็นโยมทำกับแม่เช่นนี้ มันก็จะจำเอาไปแล้วทำกับโยมบ้าง และทำกันต่อๆ ไปไม่สิ้นสุดสักที เพราะเห็นว่าแม่ทำได้ ยายทำได้ เราก็ทำได้เหมือนกันอาตมาพูดแล้วโยมจะโกรธจะเคืองอาตมาก็ตามใจเถอะ อาตมาพูดความหวังดีต่อโยม โยมลองคิดดูให้ดีก็แล้วกัน” น้ำตาเจ้ากรรมมันพงลงจากทำนบตาของคุณนายเมื่อไรไม่ทราบ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล่นเข้าจับหัวใจ ตามวิสัยของคนผิดที่กลับตัวกลับใจได้ทันเวลา สะอื้นพลางกราบลาสมเด็จฯ โดยไม่กล่าวคำอำลาสักน้อยหนึ่ง จะโกรธสมเด็จฯ ที่พูดจี้ใจดำหรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่หลังจากนั้น สมเด็จฯ ท่านก็ได้ทราบข่าวมาว่าคุณนายเงียบเหงาไปไม่ร่าเริง เหมือนแต่ก่อน และจัดการย้ายห้องแม่ให้อยู่ติดๆ กับห้องตนบนตึกใหญ่ชั้นล่าง ดูแลท่านอย่างดีไม่ค่อยออกนอกบ้าน เช่นแต่ก่อน และกว่าจะเข้าวัดมาหาสมเด็จฯ อีกก็ต่อเมื่อเวลาล่วงไปแล้วได้หลายเดือน ไม่กล้าเข้าหาสมเด็จฯ เพราะความละอายใจนั่นเอง สาธุ! นับเป็นบุญของคุณนายคนนั้นที่ได้พบพระเช่นสมเด็จฯ องค์นั้นเสียก่อน และเป็นบุญยิ่งนักที่กลับเนื้อกลับใจเสียใหม่ เมื่อยังไม่สายเกินไป เวลาที่จะสนองพระคุณแม่นั้นยังพอมีอยู่บ้าง แม้ว่า จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี ผิดกับบางคนกว่าจะรู้ว่า
            พ่อแม่เป้นพระในบ้านผู้ประเสริฐ ก็สายเสียแล้วคือรู้ก็ต่อเมื่อท่านทั้งสองไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว หรือบางคนแม้จะมีผู้พูดกรอกหูให้ฟังอยู่ทุกวันยังไม่รู้สึก ปล่อยให้พระในบ้านตนลำบากอยู่เหมือนเดิม ก็แล้วมาถึงท่านบ้างละ พระในบ้านของท่านยังสบายดีอยู่หรือ?


เผ่าพงษ์ ปัตตานี

  • ชาวบ้านเพลงไทยอาวุโส
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 2009
  • กระทู้: 507
  • Thank You
  • -Given: 3223
  • -Receive: 2009
Re: พระในบ้าน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2013, 11:24:02 AM »
      นับเป็นเรื่องสอนใจเราท่านทุกคนได้อย่างมากมาย  "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" จริงๆ เหมือนคำที่พระท่านสอน ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละคน  เสียดายที่พระทั้งสองของผมไม่อยู่ในบ้านเสียแล้ว


บันทึกการเข้า

ชบาบาน

  • ชาวบ้านเพลงไทยอาวุโส
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 382
  • กระทู้: 95
  • Thank You
  • -Given: 412
  • -Receive: 382
Re: พระในบ้าน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2013, 09:29:49 AM »
ทุกวันนี้มีข่าวออกทางสื่อบ่อยๆ หลอกเอาแม่ไปทิ้งที่สถานีรถไฟหรือสวนสาธารณะ
พบเห็นเรื่องราวเหล่านี้แล้ว อเน็จอนาถใจเป็นที่ยิ่ง มนุษยเอย..พ่อแลแม่มีเพียงท่าน
ละหนึ่งเท่านั้น การเกิดกายเป็นคนก็ 2 ท่านนี่แหละขอรับ! ถนอมแลเทิดทูนท่านไว้เถิด
เทพตัวจริงอยู่ในบ้านทุกท่านแล้ว....


บันทึกการเข้า

พรหมนิมิต

  • ชาวบ้านเพลงไทยอาวุโส
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 1401
  • กระทู้: 385
  • Thank You
  • -Given: 3985
  • -Receive: 1401
Re: พระในบ้าน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2013, 08:43:19 PM »
        อยู่บ้านข้างๆบ้านผมนี่แหละ มีกันสองคนพี่น้อง ผู้ชายทั้งคู่ มีครอบครัวแล้วทั้งคู่ เหลือแม่อยู่คนเดียว พ่อตายแล้ว แม่อยู่บ้านคนเดียว ลูกชายสองคนแยกมาแล้วแต่บ้านอยูในรั้วเดียวกัน ตอนเช้ามืด สองคนพี่น้องไปตลาดซื้อกับข้าวมาใส่บาตรทุกวัน พระมาบิณฑบาตร 5 รูปเป็นประจำ ส่วนแม่นั้นแก่จนหลังโก่งเวลาเดิน มีอาชีพทำก้านไม้กวาดทางมะพร้าวขาย มันสองพี่น้องใส่บาตรทุกวัน แต่แม่ปล่อยให้อด แกงถุงเดียวยังไม่ซื้อให้แม่กิน อาศัยชาวบ้านเขาเมตตาให้ต้มแกงกิน มันคนประเภทไหน ผมเห็นทุกวัน ได้แต่ปลงอนิจจัง ส่วนตัวผมเองพ่อแม่หมดมือไปหลายปีแล้ว
   เคยได้ยินภาษิตจีนเขาบอกว่า  กับพ่อกับแม่ ข้าวต้มเปล่าๆชามเดียวตอนมีชีวิตอยู่ ดีกว่าเนื้อมังกรตุ๋นตอนตาย จริงครับ..


บันทึกการเข้า