...สวัสดีครับ เพื่อนบ้านเพลงไทย ที่รักทุกๆท่าน นราธิวาสช่วงนี้ ฝนตกลงมาประปราย...ในสวนผมก็เลยเป็นแหล่งพักพิงหลบฝนของนกพื้นบ้านหลายชนิดที่หากิน ร่วมกันมาช้านาน สร้างสีสัน มีชีวิตชีวา ให้ธรรมชาติ ....วันนี้ก็เลยขอใช้พื้นที่ ตรงนี้ และขอเวลาของเพื่อนๆ นำภาพนก ทั้งที่ถ่ายเอง และนำมาจากอินเตอร์เน็ต พร้อม ข้อมูล จากแหล่งต่างๆ มาฝากเพื่อความบันเทิงและเพิ่มสาระ เพิ่มจิคสำนึกในการ...
รักษ์นก รักษ์โลก1.ชนิดแรก นกที่มักจะพบเห็นกันทั่วๆไปในเรือกสวนไร่นา และ บ้านเรือนพวกเรา นั่นคือ
นกกระจอก นกกระจอกบ้าน (อังกฤษ: Eurasian Tree Sparrow) เป็นนกเกาะคอนในวงศ์นกกระจอก มีสีน้ำตาลเข้มที่กระหม่อนและหลังคอ แก้มสีขาวมีจุดดำบนแก้มแต่ละข้าง นกกระจอกทั้งสองเพศมีชุดขนคล้ายกัน นกวัยอ่อนมีสีขนจืดกว่านกที่โตเต็มที่ นกชนิดนี้มีการกระจายพันธุ์เกือบทั้งทวีปยูเรเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Tree Sparrow (นกกระจอกต้นไม้) และมันถูกนำไปสู่ที่อื่นๆ รวมถึง สหรัฐอเมริกา ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Eurasian Tree Sparrow (นกกระจอกต้นไม้ยูเรเชีย) หรือ German Sparrow (นกกระจอกเยอรมัน) ต่างไปจากนกพื้นเมือง นกกระจอกต้นไม้อเมริกา (American Tree Sparrow) แม้ว่าจะมีหลายชนิดย่อยที่ได้รับการยอมรับ แต่ลักษณะที่ปรากฏของนกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยตลอดแนวการกระจายพันธุ์ที่ กว้างขวาง
นกกระจอกบ้านทำรังไม่เป็นระเบียบในโพรงธรรมชาติ รูในอาคาร หรือรังขนาดใหญ่ของนกสาลิกาปากดำหรือนกกระสาขาว นกจะวางไข่คราวหนึ่งห้าถึงหกฟอง ไข่จะฟักเป็นตัวภายในสองอาทิตย์ นกกินเมล็ดพืชเป็นอาหารหลัก แต่บางครั้งจะกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหาร โดยเฉพาะช่วงฤดูผสมพันธุ์ นกกระจอกบ้านเหมือนกับนกขนาดเล็กทั่วไปซึ่งอาจเสียชีวิตจากการติดเชื้อจาก ปรสิต โรคภัยไข้เจ็บ และถูกล่าโดยนกล่าเหยื่อ ทำให้โดยทั่วไปมีช่วงชีวิตประมาณสองปี
2.
นกเอี้ยงนกเอี้ยงสาริกา
นกเอี้ยง หรือ นกเอี้ยงสาริกา หรือ นกเอี้ยงสาลิกา (อังกฤษ: Common myna, Indian myna, Mynah; ชื่อวิทยาศาสตร์: Acridotheres tristis) เป็นนกในวงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง (Sturnidae) เป็นนกที่พบเห็นได้ง่ายในเขตเมืองหรือชุมชนของมนุษย์ มีความยาวประมาณ 25-26 เซนติเมตร ขาเรียวเล็ก นิ้วตีนแข็งแรง หัวและคอสีดำ ปากและหนังรอบตาสีเหลือง ลำตัวสีน้ำตาล ขอบปีกและปลายหางสีขาว หน้าอก, ท้อง และก้นสีน้ำตาลอ่อน ตัวผู้และตัวเมียคล้ายคลึงกัน หากินอยู่ตามพื้นดินปะปนกับนกชนิดอื่น ๆ มักเดินสลับวิ่งกระโดด มีความปราดเปรียว ชอบจิกตีต่อสู้กันเองหรือทะเลาะวิวาทกับนกชนิดอื่น ๆ
กินแมลงและเมล็ดพืชต่าง ๆ รวมทั้งผลไม้เป็นอาหาร อาศัยอยู่ตามชายทุ่ง พื้นที่ทำการเกษตรใกล้หมู่บ้าน อาจอยู่เป็นคู่หรือรวมฝูง ชอบลงมาหากินอยู่ตามพื้นดิน ขณะหาอาหารมักส่งเสียงร้องไปด้วย มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ทำรังตามชายคาบ้านเรือนหรือตามต้นไม้ด้วยกิ่งไม้ หรือใบหญ้าแห้ง วางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง ผลัดกันกกไข่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ประมาณ 14 วัน ไข่จึงฟักเป็นตัว พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปเอเชีย ตั้งแต่ อินเดีย, อัฟกานิสถาน, พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค และปัจจุบันได้ถูกนำเข้าไปในบางพื้นที่ที่ไม่ใช่ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมด้วยเป็นนกอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ในประเทศไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
นกเอี้ยงหงอน
นกเอี้ยงหงอน(White - vented Myna)
ชื่อทางวิทยาศาสตร:Acridotheres grandis
วงศ์:Sturnidae
นกเอี้ยงดาหรือนกเอี้ยงหงอน ซึ่งนิยมเรียกโดยทั่วไปว่า"นกเอี้ยงเลี้ยงควายเป็นนกที่มีความน่ารัก เนื่องจากมีขนหงอนอยู่บนหัว เป็นนกเอี้ยงที่พบได้บ่อยมากพอๆกับนกเอี้ยงสาริกาขณะที่นกเอี้ยงสาริกาเป็นนกที่หาดูได้ง่ายมากๆในทุกภาคของประเทศไทย
ลักษณะทั่วไปสีของขนปลายสุดของหางจะมีสีขาว และที่ส่วนปีกก็จะมีแถบสีขาวเช่นเดียวกันลักษณะเด่นชัดที่สำคัญของนกเอี้ยงพันธุ์นี้ก็คือ ขนหงอนสีดำซึ่งตั้งชูขึ้นบริเวณหน้าผาก ส่วนบริเวณ
ของปากและขาจะเป็นสีเหลืองขนาดของล าตัวเมื่อวัดจากจะงอยปากถึงปลายหางมีความยาว
ประมาณ๑๕–๑๘เซนติเมตรนกเอี้ยงหงอนมีจุดเด่นคือมีขนคลุมล าตัวสีด าสนิทและมีขนหงอนยาวบริเวณหน้าผากโดยขนหงอนหงอนที่หน้าฝากเป็นขนตั้งฟูๆและสีตัวเป็นพื้นสีดำ มีปากแหลมยาวพอประมาณสีเหลืองถึงส้มสดเช่นเดียวกับขาและเท้าซึ่งยาวแข็งแรงเล็บเท้าสีดำมีแถบสีขาวที่โคนขนปลายปีกท าให้ดูเป็นแถบสีขาวตัดกับสีดำสะดุดตาขนคลุมโคนหางและขนปลายหางก็มีสีขาว ส่วนความยาวของขาเมื่อวัดจากโคนขาถึงปลายนิ้วเท้าจะมีความยาวประมาณ ๕–๘เซนติเมตร
ตัวผู้และตัวเมียคล้ายคลึงกัน
ถิ่นอาศัยและอาหารมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศปากีสถาน จีน ชวา พม่า อินโดนีเซีย และไทยซึ่งในประเทศไทยสามารถพบว่ามีนกเอี้ยงพันธุ์นี้อาศัยอยู่ทุกภาค กระจายพันธุ์อย่างแพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับในเวียดนามเป็นนกที่หายากและเป็นนกที่ถูกนำเข้าไปในสิงคโปร์และหลุดจากกรงไปอยู่ในธรรมชาติ ไม่ใช่นกดั้งเดิม ชอบอาศัยและหากินอยู่ตามที่โล่ง บริเวณชายบึงหรือบริเวณใกล้ ๆ หมู่บ้าน ซึ่งมีอยู่ใกล้เคียงและสามารถพบเห็นได้ตามท้องนาและในเมือง บริเวณที่ราบจนถึงความสูง
๑,๕๒๕เมตรจากระดับน้ าทะเล แต่ส่วนใหญ่จะพบในที่ราบอาหารของนกชนิดนี้มีหลากหลายมาก
ตั้งแต่แมลง ไส้เดือน เมล็ดข้าว น้ าหวานจากดอกไม้ และผลไม้สุกโดยจะพบเค้าเดินๆวิ่งๆหาไส้เดือน แมลง หรือเมล็ดพืชกินบนพื้น เกาะหลังควายกินแมลงกินผลไม้สุกคาต้นอย่างเช่นต้นมะละกอและกินแมลงและน้ าหวานอยู่บนต้นไม้ที่ออกดอกสะพรั่ง
3.
นกเอี้ยงถ้ำ ลักษณะทั่วไป ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกัน ขนตามลำตัวมีสีน้ำเงินเข้มเป็นมันเงา บนหัวและหน้าอกแต้มด้วยลายสีฟ้าเล็กๆ นกเอี้ยงถ้ำมีสองชนิดย่อยคือ ชนิดปากสีดำและปากสีเหลือง
ถิ่นอาศัย, อาหาร มีถิ่นอาศัยอยู่ในทวีปเอเซียแถบประเทศอินเดีย จีน อินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชาและในประเทศไทยพบอยู่ทุกภาค ยกเว้นภาคกลาง นกเอี้ยงถ้ำกิน หนอน แมลงในน้ำ หอย และพืชบางชนิด
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ ชอบหากินตามป่าดงดิบชื้นใกล้ลำธารตามภูเขาสูง ส่วนมากจะอยู่ตามพื้นดินหรือเกาะบนกิ่งไม้เตี้ยๆ
นกเอี้ยงถ้ำเริ่มผสมพันธุ์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม ทำรังด้วยรากไม้และใบหญ้า นำมาประกอบกับดินเหนียวตามซอกหินขนาดใหญ่ วางไข่ ครั้งละ 3-4 ฟอง ทั้งตัวผู้และตัวเมียต่างช่วยกันกกไข่ และเลี้ยงลูก
สถานภาพปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
5.
นกเขา นกเขาเล็ก (นกเขาชวา)
นกเขาชวา หรือ นกเขาเล็ก หรือ นกเขาแขก (อังกฤษ: Zebra dove; ชื่อวิทยาศาสตร์: Geopelia striata-เป็นภาษาละติน แปลว่า "รอยไถ" หรือ"ลาย" มีความหมายว่า "นกเขาที่มีลาย" เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbridae)มีรูปร่างเหมือนกับนกชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกันนี้ทั่วไป มีขนปกคลุมตัวสีน้ำตาลหัวสีเทา หรือมีสีที่หัวเป็นสีน้ำเงิน ด้านข้างคอมีแถบสีดำสลับกับแถบขาวเป็นลายตามขวาง ด้านหลังสีเข้มมีขีดขวาง คล้ายกับลายของม้าลายในต่างประเทศ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ ด้านท้องสีจาง ใต้ลำตัวเป็นสีขาวมีขีดขวางเล็ก ขอบท้ายของขนหางสีขาว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ไม่เกิน 8-9 นิ้ว
มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง, ป่าละเมาะ, ชายทุ่งและบริเวณที่ทำการเพาะปลูก ชอบอยู่กันเป็นคู่หรือลำพังเพียงตัวเดียว แต่ไม่ชอบหากินอยู่เป็นฝูงใหญ่ มักร้องบ่อย ๆ ในเวลาเช้าและเวลาเย็น มีถิ่นกระจายพันธุ์ในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย จนถึงมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ นกตัวผู้จะมีลักษณะทั่วไปใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย หัวใหญ่ค่อนข้างยาว มีสีขาวที่หน้าผากสีขาวมากยาวถึงกลางหัว ขณะที่ตัวเมียหัวกลมเล็กและสีขาวที่ส่วนหัวจะไม่ยาวเท่า และมีรายละเอียดต่างกันเล็กน้อย เช่น หางที่ตัวเมียจะยกแอ่นกว่าตัวผู้ และเกล็ดที่ข้อเท้าจะละเอียดเล็กกว่าตัวผู้ นกเขาชวา เป็นนกที่ไม่เกรงกลัวมนุษย์ ซ้ำยังมีเสียงร้องที่ไพเราะ จึงเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับฟังเสียง จนกลายเป็นวัฒนธรรมในคาบสมุทรมลายู โดยเชื่อว่ามีมาจากเกาะชวามีการจัดแข่งขันประกวด การเพาะขยายพันธุ์ ก่อตั้งเป็นชมรมหรือสมาคมต่าง ๆ ซึ่งในตัวที่มีเสียงร้องไพเราะอาจมีราคาสูงถึงหลักล้านบาท ตลอดจนแตกแขนงกลายเป็นอาชีพอื่น ๆ ต่อด้วย เช่น ประดิษฐ์กรงนกขาย
นกเขาชวา ในปัจจุบันกลายเป็นนกประถิ่นในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย จากการที่ถูกนำเข้ามาในฐานสัตว์เลี้ยง และไม่จัดว่าเป็นสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองแต่ประการใด
-
นกเขาใหญ่ นกเขาใหญ่ หรือ นกเขาหลวง (อังกฤษ: Spotted dove, Spotted turtle dove) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) มีถิ่นอาศัยในเอเชียทางใต้จากประเทศปากีสถาน อินเดีย และ ศรีลังกา ทางตะวันออกถึงตอนใต้ของประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เป็นนกชนิดที่พบบ่อยและแพร่หลายในป่าเปิด พื้นที่การเกษตร และในเมือง ถูกนำเข้าสู่รัฐฮาวายและตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย นอกจากประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังมีการนำนกเข้าสู่ประเทศสิงคโปร์, ประเทศฟิลิปปินส์, ทางเหนือของประเทศอินโดนีเซีย, ประเทศออสเตรเลีย และ ประเทศนิวซีแลนด์ ในประเทศออสเตรเลียนกถูกนำเข้ามาที่เมลเบิร์นในคริสต์ทศวรรษที่ 1860 และมีการกระจายพันธุ์แทนที่นกเขาพื้นเมือง
นกเขาใหญ่กินเมล็ดธัญพืชเป็นอาหาร ชอบอาศัยอยู่ตามทุ่งนา ป่าโปร่ง แหล่งที่มีการเพาะปลูกพืชไร่ มักอยู่เป็นคู่และขันคูในตอนเช้าเย็น มักลงมาหากินตามพื้นดิน เวลาขันจะมีเสียงไพเราะ จึงนิยมนำนกเขาชนิดนี้มาเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย ผสมพันธุ์ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ทำรังอยู่บนต้นไม้ใหญ่ โดยใช้กิ่งไม้ขัดสานกันทำให้เป็นแอ่งเพื่อวางไข่ ปกติจะวางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง
..........คิดว่าพอเหมาะสมกับ กับเนื้อที่แล้วนะครับ แล้วจะมาสานต่อข้อมูลกันอีก ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ไว้เจอกันใหม่ครับ...............................................................................ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต หลากหลายเวป และภาพส่วนตัว(บางส่วน)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
ขอขอบคุณ
อ. ชาติ ผู้สาบสูญ..ผู้สอนการวางภาพ