เครดิต
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000050994สวนสัตว์เขาดิน อาจเป็นอีกหนึ่งจุดหมายของผู้ปกครองชาวไทยที่ต้องพาลูกไปให้ได้ในสักวัน หรือพ่อแม่บางท่านก็อาจเคยมีประสบการณ์ดีๆ กับสถานที่แห่งนี้ วันหนึ่งเมื่อมีลูกก็คิดอยากพาลูกไปบ้าง และหวังว่าจะได้รับประสบการณ์ดีๆ กลับมาเช่นกัน
แต่ในฐานะที่ทีมงาน Life & Family เผลอไปเป็นผู้เข้าชมคนหนึ่งของสวนสัตว์เขาดินเข้าโดยบังเอิญ และได้พบประสบการณ์น่าสลดใจภายในสวนสัตว์แห่งนี้ จึงขออนุญาตนำเรื่องดังกล่าวมาฝากกัน เผื่อเป็นข้อพิจารณาให้กับครอบครัวที่มีแผนจะไปเยี่ยมชมค่ะ
1.การแสดงช้าง “แสนรู้”
ในส่วนนี้ ผู้เขียนขอพุ่งเป้าไปที่การแสดงช้างที่นอกจากจะมีคนไทยเข้าชมอย่างล้นหลามแล้ว ก็ยังมีชาวต่างชาติพาลูกหลานเข้ามาชมด้วยเช่นกัน แต่ในความรู้สึกของทีมงาน หลังจากดูจบรู้สึกสลดใจ และรู้สึกเหมือนเป็นการแสดงที่เหยียบย่ำสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของเราให้ดูต่ำต้อย ไร้ศักดิ์ศรีอย่างสิ้นเชิง
ก่อนเริ่มการแสดง จากการสังเกตบริเวณลานจัดการแสดง สิ่งที่พบเลยคือความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย มีสิ่งของต่างๆ วางระเกะระกะอยู่ทั่วไป ซากต้นไม้แห้งๆ ก็ยังวางอยู่ด้านหน้าเวที ซึ่งในจุดนี้ หากทีมงานทราบล่วงหน้าว่าในระหว่างการแสดงจะมีการสั่งให้ช้างขว้างปาสิ่งของ ทีมงานจะไม่นั่งที่แถวหน้าโดยเด็ดขาด และก็ขอเตือนผู้ปกครองที่มีลูกเล็กด้วยค่ะ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า คณะผู้จัดแสดงไม่ห่วงใยสวัสดิภาพของผู้ชมเลยแม้แต่น้อย
สองคือเสียงเพลงที่เปิดก่อนจะจัดแสดงนั้นดังมากๆ แถมเนื้อหาไม่ได้มีความจรรโลงใจผู้ชมเลย ทั้งๆ ที่ผู้ชมก็เป็นเด็กเล็กออกมากมาย เว้นแต่ว่าทางผู้บริหารสวนสัตว์มองว่ากลุ่มวัยรุ่นยกพวกตีกันเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่กลุ่มพ่อแม่-ครอบครัว การเปิดเพลงเหล่านี้ก็คงเหมาะสมดีแล้วค่ะ
สามคือในระหว่างการแสดง ท่าทางที่ครูฝึกสั่งให้ช้างแสดงนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวสัตว์คู่บ้านคู่เมืองเลย แต่เป็นการจับช้างมาเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งในการสร้างความบันเทิง เป็นเหมือนลูกไล่ในคณะตลก ซึ่งสังเกตจากสีหน้าผู้ชมส่วนหนึ่ง รวมถึงกลุ่มคนต่างชาติ ไม่มีใครยิ้มออกเลยในระหว่างการแสดง
สี่คือก่อนการแสดงจะจบลง มีการสั่งให้ช้างเตะลูกบอล ขนาดนักบอลทีมชาติไทยยังไม่สามารถควบคุมลูกบอลได้ดังใจ นับประสาอะไรกับช้าง ผลก็คือลูกบอลเกือบโดนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่นั่งดูแถวหน้า เพราะไม่มีรั้วเหล็ก ไม่มีคำเตือน ไม่มีการป้องกันใดๆ ให้ผู้ชมได้เตรียมตัวเลยนั่นเอง
ห้า การกระทำที่ขาดความยั้งคิดของคณะผู้จัดแสดงในข้อสี่ ไม่มีคำขอโทษใดๆ หลุดจากปากแม้แต่น้อย...
2.สารพัดเสียงจากบูธกิจกรรม
ใครไปเขาดินแล้วหวังจะได้พบความร่มรื่น เงียบสงบ ทางที่ดี เปลี่ยนแผนเลยดีกว่าค่ะ เพราะทุกวันนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว จากที่เราได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมในวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ขอเรียนตามตรงว่าแทบทุกจุด (ที่มีการจัดแสดงสัตว์) มีเสียงดังอย่างมาก ทั้งจากการแสดงที่ทางสวนสัตว์จัดขึ้นเองที่เปิดเพลงร็อกสไตล์วัยรุ่นอกหักได้ดังหนวกหู หรือจากบูธของบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ที่เข้าขอใช้พื้นที่ในเขาดินก็ใช้เสียงดังมากเช่นกัน
เราเป็นมนุษย์ หนวกหูเรายังเดินหนีได้ ไม่พอใจเรายังบ่นได้ แต่สัตว์อีกนับร้อยชีวิตที่ถูกผูกเอาไว้ในกรง หนีไม่ได้ บ่นไม่ออก และต้องทนฟังเสียงที่โหดร้ายเหล่านี้ทุกวัน ก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าเขาทางอ้อมล่ะค่ะ
3.ปลาคาร์ฟดูดนม
ฟังตอนแรกอาจนึกว่าปลาคาร์ฟพันธุ์ใหม่กินนมได้ แต่มันไม่ใช่ค่ะ และอาจจัดได้ว่าเป็นกิจกรรมหลอกเงินจากกระเป๋าพ่อแม่ที่น่าสลดใจทีเดียว กับการนำเอาขวดนมเด็กสกปรกๆ ใบเล็กๆ มาใส่อาหารปลาหน่อยหนึ่ง ผสมกับน้ำ จากนั้นก็ขายขวดละ 20 บาทเพื่อแลกกับการเอาไปให้ปลาคาร์ฟดูดในบ่อ
สิ่งที่น่าอันตรายอีกประการหนึ่งคือขวดนมสกปรกมาก แต่ถ้าท่านใดที่คิดว่ารับได้ ทีมงานก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ แต่ถ้าเป็นครอบครัวทั่วไปที่มีลูกให้ดูแล โดยมากแล้วน่าจะยอมรับไม่ได้ค่ะ
นอกจากนั้น บริเวณปลาคาร์ฟดูดนมนี้ก็เป็นอีกจุดที่ใช้เสียงดังมาก จนไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อประสาทหูของเด็กๆ ที่มาร่วมให้อาหารปลาในบ่อด้วย
อย่างไรก็ดี กิจกรรมหนึ่งที่น่าสนับสนุนก็คือการบริจาคค่าอาหารสัตว์ที่เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมตามกำลังทรัพย์ ซึ่งน่าจะดีกว่าการขายอาหารสัตว์เป็นชุดๆ ในราคาแพงมากแบบที่รีสอร์ทหลายแห่งทำกันเป็นล่ำเป็นสัน
แต่ในภาพรวมแล้ว การไปเขาดินเพื่อดูสัตว์ ศึกษาธรรมชาติของสัตว์อาจเป็นสิ่งที่ไกลเกินฝันสำหรับคนไทยก็เป็นได้ค่ะ เพราะความไร้จินตนาการ ด้อยความสามารถในสร้างบรรยากาศที่ดีให้เกิดขึ้นอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ มันสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน
เว้นเสียแต่ว่าเราจะยอม “หยวนๆ” กับสิ่งเหล่านี้ หรือคิดว่าสิ่งเหล่านี้ “เหมาะสม” กับคนไทยดีแล้วเท่านั้น