...สวัสดีครับ..วันนี้ขอนำเพื่อน ร่วมโลก ที่อยู่ข้างๆบ้าน..และพบเจอกันบ่อยมาฝากกันะครับ
พังพอน
พังพอน (อังกฤษ: Small asian mongoose, Small indian mongoose; ชื่อวิทยาศาสตร์: Herpestes javanicus) เป็นสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Herpestidae มีขนาดเล็ก ขนบนหัวมีสีน้ำตาลแดงจนถึงน้ำตาลเข้ม ขามีสีเดียวกับลำตัวหรือเข้มกว่าเล็กน้อย หางยาวประมาณ 2 ใน 3 ของลำตัว เมื่อตกใจจะพองขนทำให้ดูตัวใหญ่กว่าปกติ เพศเมียจะมีเต้านมทั้งหมด 3 คู่
มีความยาวลำตัวและหัว 35-41 เซนติเมตร ความยาวหางประมาณ 25-29 เซนติเมตร พังพอนมีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางมากตั้งแต่อิหร่าน, ปากีสถาน, อินเดีย, พม่า, เนปาล, รัฐสิกขิม, บังกลาเทศ, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซียและเกาะชวา จึงทำให้มีชนิดย่อยมากถึง 12 ชนิด มีพฤติกรรมชอบอาศัยตามป่าโปร่งหรือทุ่งหญ้ามากกว่าป่าดิบทึบ ดังนั้นจึงมักเห็นพังพอนอาศัยอยู่แม้แต่ในเขตเมือง มักอาศัยอยู่ตามลำพังในโพรงดินที่ขุดไว้ หรือโพรงไม้ ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์หรือมีลูกอ่อนที่อาจอยู่เป็นคู่หรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ อาหารได้แก่ สัตว์ทั่วไปขนาดเล็ก หรือบางครั้งอาจล่าเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าลำตัว เช่น ไก่ป่ากินได้ ออกหากินทั้งกลางวันและกลางคืน พังพอนจัดเป็นสัตว์ที่มีความปราดเปรียวว่องไวมาก อีกทั้งมีนิสัยที่ไม่กลัวใคร จึงเป็นที่ทราบกันดีว่าชอบที่จะสู้กับงูพิษ โดยเฉพาะงูเห่าเมื่อเผลอจะโดดกัดคองูจนตาย มีฤดูผสมพันธุ์ที่ไม่แน่นอน มักจะผสมกันในโพงดิน ออกลูกครั้งละ 2-4 ตัว ใช้เวลาตั้งท้องนาน 6 สัปดาห์ สมัยก่อนในบางบ้านจะเลี้ยงพังพอนไว้สำหรับจับหนูหรือสัตว์ที่ทำรังควานในบ้านชนิดอื่น ๆ แทนแมว ซึ่งได้ผลดีกว่าแมวเสียอีก พังพอนแม้เป็นสัตว์ดุ แต่หากเลี้ยงตั้งแต่เล็กก็จะเชื่องกับเจ้าของ ในสถานที้เลี้ยงพบว่ามีอายุยืนประมาณ 6 ปี
ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
ชะมดเช็ด(มูสัง)
มูสัง
ชื่อท้องถิ่น: มูสัง
ชื่อสามัญ: ชะมดเช็ด
ชื่อวิทยาศาสตร์: Viverricula indica
ชื่อวงศ์: Viverridae
ประเภทสัตว์: สัตว์บก-สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ชะมดเช็ด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Viverricula indica จัดเป็นชะมดขนาดเล็ก ขาสั้น หูทั้งสองข้างอยู่ใกล้กัน เมื่อมองไกล ๆ อาจคล้ายแมว จนตามลำตัวมีสีน้ำตาลเหลือง และมีจุดสีดำขนาดเล็กแทรกอยู่ทั่วไปตามลำตัว มีแถบสีดำและขาวบริเวณลำคอ หางมีวงสีดำ 6-9 ปล้องพาดขวางอยู่ ทำให้มีดูมีลักษณะเป็นปล้องสีดำ ปลายหางมีสีขาว ขาหลังมีต่อมกลิ่นที่ใช้สื่อสารระหว่างพวกเดียวกัน มีขนาดความยาวลำตัวและหัว 54-63 เซนติเมตร ความยาวหาง 30-43 เซนติเมตร น้ำหนัก 2-4 กิโลกรัม
ชะมดเช็ดมักอาศัยในป่าที่ไม่รกชัฏ หากินบริเวณชายป่าที่ติดต่อกับพื้นที่ที่มนุษย์อยู่อาศัยและทำการเกษตรกรรม กินอาหารได้หลากหลาย ทั้งพืชและสัตว์ และอาจล่าสัตว์เลี้ยงจำพวก เป็ด, ไก่ กินเป็นอาหารได้ด้วย ออกมากินในเวลากลางคืน นอนหลับพักผ่อนในเวลากลางวัน โดยปกติแล้วจะอาศัยอยู่ตามลำพัง แต่ในฤดูผสมพันธุ์จะอาศัยอยู่เป็นคู่ แม่ชะมดเช็ดจะออกลูกครั้งละ 3-5 ตัว โดยจุดโพรงดินตื้น ๆ หรือหาโพรงตามโลดหินสำหรับเป็นที่ออกลูกและเลี้ยงดูลูกอ่อน เมื่อผ่านช่วงผสมพันธุ์ไปแล้ว แม่ชะมดเช็ดจะเลี้ยงลูกตามลำพังชะมดเช็ดในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกพื้นที่และทุกภาค มีอีกชื่อเรียกนึงว่า "ชะมดเชียง" ในจังหวัดเพชรบุรี มีการเลี้ยงชะมดเช็ดโดยเก็บเอาสารเคมีจากต่อมกลิ่นที่ขาหลังทำเป็นเครื่องหอม โดยเลี้ยงในกรงไม้กรงละตัว ให้อาหารสลับประเภทกันไป
อีเห็น
อีเห็น หรือ กระเห็น[2](อังกฤษ: Palm civet) เป็นสกุลของสัตว์กินเนื้อสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Paradoxurus ในวงศ์ชะมดและอีเห็น (Viverridae)
อีเห็น มีความแตกต่างจากชะมด (Viverra spp.) ซึ่งเป็นสัตว์อีกสกุลในวงศ์นี้ คือ อุ้งตีนมีลักษณะเหมาะสมสำหรับการปีนป่าย โดยเฉพาะนิ้วที่ 3 และ 4 ของตีนหลังบางส่วนมีพังผืดเชื่อมติดกัน อุ้งตีนแยกออกเป็น 4 ส่วน อีเห็นจะมีนิ้วตีนทั้งหมดที่อุ้งตีนข้างละ 5 นิ้ว มีเล็บคมยาวไว้ปีนป่าย ขนาดอุ้งตีนของอีเห็นจะเล็กกว่าชะมด เพราะอีเห็นจะปีนป่ายต้นไม้หากินมากกว่าชะมด ที่หากินตามพื้นดิน แต่ทั้ง 2 สกุลนี้ เมื่อลงพื้นดิน โดยเฉพาะดินที่อ่้อนนุ่ม จะฝากรอยเท้าทิ้งเอาไว้ให้สังเกตเห็นได้ง่าย อีกทั้ง อีเห็นจะเป็นสัตว์กินพืชและผลไม้มากกว่าชะมด ขณะที่ชะมดจะกินสัตว์ต่าง ๆ เช่น กบ หรือเขียด หรือปลา เป็นอาหารมากกว่าพืช
อีเห็น เป็นสัตว์ที่กระจายพันธุ์ทั้งแต่เอเชียใต้ จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งที่เป็นแผ่นดินใหญ่ และหมู่เกาะต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย หรือ เวียดนาม มีการเลี้ยงอีเห็นในสกุลนี้ให้กินเมล็ดกาแฟ เมื่อถ่ายมูลออกมาแล้ว เมล็ดกาแฟจะไม่ถูกย่อยสลาย จะออกมาเป็นเมล็ดเหมือนเดิม จากนั้นจะนำไปล้างและคั่วเป็นกาแฟสำหรับจำหน่าย ซึ่งกาแฟลักษณะนี้เรียกว่า "กาแฟขี้ชะมด" เป็นกาแฟที่มีรสชาติกลมกล่อม หอมหวาน อร่อยกว่ากาแฟทั่วไป จึงมีราคาขายที่แพงกว่ากาแฟปกติทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากในระบบย่อยอาหารของอีเห็นมีเอนไซม์ที่ทำให้เมล็ดกาแฟมีรสชาติที่หอมหวาน
****ทั้งสองชนิดนี้ ทางภาคใต้จะเรียกรวมกันว่า "มูสัง" *********ชะมดและอีเห็นเป็นสัตว์ในวงศ์เดียวกัน นั่นคือวงศ์ Viveridae เป็นสัตว์กินเนื้อขนาดกลาง ลำตัวยาว ขาค่อนข้างสั้น มีขนาดความยาวหัว-หาง ต่างกันตั้งแต่ 30-100 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ไม่ถึงกิโลกรัมจนถึง 14 กิโลกรัม ส่วนใหญ่มีหัวเล็ก ปากแหลมสั้น ดวงตาขนาดปานกลาง ส่วนใหญ่มีลายแถบ หรือลายจุดตามลำตัว หางมักมีลายเป็นปล้อง หดเล็บได้ ส่วนใหญ่มีต่อมรอบก้นที่ผลิตสารกลิ่นฉุน บางชนิดแรงพอที่จะใช้เป็นอาวุธขับไล่ศัตรูได้ ส่วนประกอบของสารนี้ใช้ทำน้ำหอมหรือยาสมุนไพรได้ สัตว์ตัวผู้ในตระกูลนี้มีกระดูกลึงค์ด้วย สูตรฟันคือ 3/3, 1/1, 3-4/3-4, 1-2/1-2 = 32-40
สัตว์ในวงศ์นี้อาศัยอยู่ในทางใต้ของยุโรป แอฟริกา และเอเชีย รวมถึงอินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ มาดากัสการ์ มีทั้งสิ้น 20 สกุล 34 ชนิด
ชะมดและอีเห็นมีสายตาดี จมูกดี และหูดี ส่วนใหญ่หากินกลางคืน อาหารหลักคือ มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก แมลง รวมถึงสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเช่นหนอน ปู กุ้ง บางชนิดกินเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่บางชนิดก็กินผลไม้และรากไม้ด้วย สัตว์พวกนี้ไม่ค่อยสมาคมกันเป็นฝูงใหญ่ จึงมักพบเพียงตัวเดียวหรือเป็นคู่ มักปีนต้นไม้เก่ง มีเพียงไม่กี่ชนิดที่ชอบหากินบนพื้นดิน ชนิดหนึ่งที่พิเศษกว่าชนิดอื่นคือ หมีขอ เพราะมีหางยึดจับได้
ประเทศไทยมีชะมดและอีเห็น 11 ชนิด ได้แก่ ชะมดแผงหางปล้อง (Viverra zibetha), ชะมดมลายู (Viverra tangalunga), ชะมดแผงสันหางดำ (Viverra megaspila), ชะมดเช็ดหรือชะมดเชียง (Viverricula indica), อีเห็นลายเสือหรือชะมดแปลงลายจุด (Prionodon pardicolor), อีเห็นหน้าขาวหรืออีเห็นหูด่าง (Arctogalidia trivirgata), อีเห็นเครือ (Paguma larvata), อีเห็นข้างลาย (Paradoxurus hermaphroditus), อีเห็นน้ำหรือชะมดน้ำ (Cynogale bennettii), อีเห็นลายเสือโคร่งหรืออีเห็นลายพาด (Hemigalus derbyanus), หมีขอหรือบินตุรง (Arctictis binturong)
*******กระรอกสวน
กระรอกแป็นสัตว์ที่ออกหากินในตอนกลางวัน (ยกเว้นตระกูลกระรอกบิน) แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะออกหาอาหารในช่วงเช้ามืดหรือตอนเย็น เราสามารถพบกระรอกอยู่เป็นกลุ่มได้ในต้นไม้ที่ออกผลมาก มีความเชื่อกันว่ากระรอกตัวที่โตเต็มที่นั้นจะแบ่งเมล็ดพืชให้กับกระรอกที่ยังเล็กอยู่ เชื่อกันว่ากระรอกนั้นจะซ่อนอาหาร อย่างเช่นผลไม้สุก ไว้ในรอยแตก หรือรอยแยกของกิ่งไม้
อาณาเขตของที่อยู่อาศัยของกระรอกที่โตเต็มวัยนั้นอาจซ้อนเหลื่อมกัน
แต่บริเวณที่เกิดการซ้อนเหลื่อมนี้อาจขยายอาณาเขตมากขึ้นเมื่อตัวเมียมีน้อยลงและอาจทำให้กระรอกมาเผชิญหน้ากัน เมื่อเป็นเช่นนี้ กระรอกตัวที่เป็นเจ้าของอาณาเขตจะไล่กระรอกตัวอื่นไปจนกระทั่งกระรอกตัวนั้นออกจากอาณาเขตของตนไป หรือกระรอกตัวที่เป็นเจ้าของอาณาเขตอาจไม่แสดงอาการใดๆ เลยแล้วใช้ชีวิตตามปกติต่อไป กระรอกตัวที่ปกครองเป็นใหญ่ในบริเวณนั้นจะยังคงอยู่โดยเฉพาะบริเวณที่ใช้เป็นที่หาอาหารประจำและมีกระรอกอยู่ทั้ง 2 เพศ ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดชีวิตของมัน
..เขตที่พบกระรอก...
กระรอกเป็นสัตว์ที่พบว่ามีอาศัยอยู่ทั่วโลกยกเว้นในทวีปออสเตรเลีย, ตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้, และบริเวณทะเลทราย กระรอกสามารถอาศัยอยู่ในถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีความแตกต่างกัน ตั้งแต่ป่าฝนเขตร้อนไปจนถึงเขตอาร์คติกทุนดรา และจากชั้นเรือนยอดของต้นไม้ไปจนถึงโพรงใต้ดิน
...ถิ่นที่อยู่อาศัย...
โดยส่วนใหญ่แล้วกระรอกจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15.8 องศาเซลเซียส และมีปริมาณน้ำฝน 1455 มม. จะสามารถพบกระรอกได้มากในป่าเขตอบอุ่นโดยเฉพาะป่าที่มีไม้ผลมาก สำหรับในประเทศไทยนั้นสามารถพบเห็นกระรอกได้ทุกภูมิภาค แต่จะพบได้มากที่ภาคใต้และพบว่ามีจำนวนน้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระรอกบางพันธุ์นั้นจะสามารถพบได้เฉพาะในภาคใต้เท่านั้น เช่น พญากระรอกเหลือง กระรอกสามสี กระรอกหางม้าใหญ่ กระรอกหน้ากระแต ซึ่งกระรอกเหล่านี้ล้วนเป็นกระรอกพันธุ์หายาก และใกล้จะสูญพันธุ์
...อาหารของกระรอก...
กระรอกในประเทศไทยนั้นก็มีลักษณะการหาอาหารคล้ายกับกระรอกต้นไม้อื่นๆ คือ ดำรงชีวิตด้วยการกินใบไม้ ผลไม้ เมล็ดพืช แมลง ผลไม้เปลือกแข็ง และโคนต้นสน กระรอกเหล่านี้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่หากินบนต้นไม้ แต่บางเวลาหากินบนพื้นดิน และแน่นอนว่าอาหารส่วนใหญ่ของกระรอกล้วนเกี่ยวกับต้นไม้ ทำให้กระรอกมักจะเก็บสะสมอาหารอยู่บนกิ่งไม้ กระรอกมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและอาหารตามฤดู ในฤดูหนาว กระรอกจะกินดอกที่ยังอ่อนๆ ของต้นแต้ฮวย ซึ่งจะออกดอกตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายนในปีถัดไป จากนั้นกระรอกจะเปลี่ยนมากินใบไม้ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคม และเมื่อถึงเดือนมิถุนายนกระรอกก็จะเริ่มกินผลไม้ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง กระรอกจะกินแมลงที่มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะมดที่กำลังกักตุนอาหารก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน
...พฤติกรรมการกินอาหารของกระรอก...
- อาหารหลัก : กระรอกเป็นสัตว์กินพืชเป็นอาหารหลัก โดยมากจะกินผลไม้และธัญพืช
- อาหารที่เป็นสัตว์ : แมลง บางครั้งกระรอกจะกินแมลงเมื่อต้องการแร่ธาตุบางชนิด
- อาหารที่เป็นพืช : ได้แก่ ใบไม้ เมล็ดพืช ธัญพืช ผลไม้เปลือกแข็ง และผลไม้
- พฤติกรรมการหาอาหาร : มีการสะสมหรือซ่อนอาหารไว้กินในฤดูหนาว
...การสืบพันธุ์...
กระรอกมีการสืบพันธุ์แบบ promiscuous หรือ polygynandrous คือตัวผู้หรือตัวเมียหลายๆ ตัวผสมกับเพศตรงข้าม 1 ตัว ในวันที่ตัวผู้เป็นสัด ตัวผู้หลายตัวจะมารวมกันล้อมรอบตัวเมียและเริ่มส่งเสียงร้อง การส่งเสียงร้องนี้เป็นการเริ่มต้นแข่งขันกันในหมู่ตัวผู้ ซึ่งจะมีตัวผู้ตัวหนึ่งที่ชนะและได้ผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวนั้น ตัวผู้ตัวที่ชนะจะได้ครอบครองตัวเมียในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไข่ของตัวเมียนั้นได้รับการผสมจากตนเอง แต่ถ้าจำนวนตัวผู้ที่เข้าแย่งชิงนั้นมีจำนวนมาก ตัวผู้ตัวนั้นก็อาจไปจากตัวเมีย และตัวเมียก็อาจจะเริ่มผสมกับตัวผู้ตัวหนึ่งที่ชนะตัวผู้ตัวอื่นๆ ที่เข้ามาในขณะนั้น
หลังจากผสมพันธุ์แล้ว ในตอนแรกตัวเมียจะออกสำรวจหาบริเวณและสร้างรังในบริเวณที่เหมาะสมและค่อนข้างปลอดภัย พฤติกรรมนี้จะพบมากที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่ตรงกับฤดูผสมพันธุ์ของกระรอก ภายในรังของกระรอกนั้นพบว่า แม่กระรอกสามารถให้กำเนิดลูกได้ครั้งละหลายตัว
...อายุขัยของกระรอก...
ยังไม่เคยมีการรายงานเป็นตัวเลขที่แน่นอนแต่สำหรับกระรอกที่ถูกคนเลี้ยงดูนั้น โดยเฉลี่ยแล้วมีอายุประมาณ 17 ปี และบางพันธุ์อาจมีอายุยืนถึง 21 ปี (เลี้ยงขังในกรง) เช่น กระรอกสามสี
ศัตรูตามธรรมชาติ
ในธรรมชาตินั้น กระรอกมีศัตรูคือสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก เช่น อีเห็น ชะมด พังพอน แมวป่า รวมทั้งเหยี่ยว นอกจากนี้ กระรอกอาจถูกคนจับมาขายหรือฆ่าทิ้งเนื่องจากทำลายผลผลิตของเกษตรกร โดยเฉพาะกระรอกที่ไปอาศัยในสวนปาล์ม
.....นี่คือเพื่อน ร่วมโลก ต่างสายพันธ์ ที่พบเห็นเป็นประจำ ในสวนลุงชัย เป็นเขตอภัยทาน ที่ห้ามทุกคนเข้ามาล่า หรือทำร้าย เราจะมีที่ใส่น้ำ ใส่อาหารเสริมให้ เลยทำให้คุ้นเคยกัน..ท่านใดมีเรื่องเล่ามาแจมกันก็เชิญนะครับ ...
ขอขอบคุณภาพและข้อมูล จากอินเตอร์เน็ต หลายเวป
ขอขอบคุณ
อ. ลือ ผู้ฝึกสอนการวางภาพ