กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

ผู้เขียน หัวข้อ: ศรศิลป์ไม่กินกัน  (อ่าน 7260 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

มหาสุ

  • กรรมการบ้านเพลงไทย
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 749
  • กระทู้: 135
  • Thank You
  • -Given: 323
  • -Receive: 749
ศรศิลป์ไม่กินกัน
« เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 05:49:53 AM »
     ศรศิลป์ไม่กินกัน   
               มาจากวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ ตอนที่พระรามและพระมงกุฎ และ พระลบ ต่อสู้กัน เพราะเข้าใจผิด ไม่ทราบว่าแต่ละคนเป็นพ่อเป็นลูกกัน พระรามแผลงศรไป เป็นอาหารคาวหวาน ส่วนศรของพระมงกุฎ และ พระลบ กลายเป็นข้าวตอกดอกไม้ ทำอันตรายกันไม่ได้ คำนี้จึงมีความหมายตามเนื้อเรื่องคือ ทำอันตรายกันไม่ได้ ต่อมาความหมายกลายไปจากเดิม ใช้ในความหมายใหม่ว่า ไม่ถูกกัน ไม่ลงรอยกันไม่ชอบหน้ากัน


อาคม ดอนเมือง

  • ชาวบ้านเพลงไทยอาวุโส
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 2051
  • กระทู้: 398
  • Thank You
  • -Given: 3296
  • -Receive: 2051
Re: ศรศิลป์ไม่กินกัน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 08:23:12 AM »
 ถ้าในชีวิตจริงเป็นเหมือนวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ ตอนที่พระราม พระมงกุฎ และ
พระลบ ต่อสู้กันก็คงจะดีนะครับ ท่านมหาสุ จะได้แฮปปี้เอนดิ้งกันทั้งสองฝ่าย อิ อิ

                                 :72


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 28, 2013, 08:29:16 AM โดย อาคม ดอนเมือง »
บันทึกการเข้า

พรหมนิมิต

  • ชาวบ้านเพลงไทยอาวุโส
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 1401
  • กระทู้: 385
  • Thank You
  • -Given: 3985
  • -Receive: 1401
Re: ศรศิลป์ไม่กินกัน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 06:38:32 PM »
    พวกแปลงสาส์นนี่สำคัญ ทำความหมายของคำให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ บางคำความหมายเขาดี เป็นคติสอนใจ ก็แปลงเป็นคำด่าทอกันก็มาก เช่นคำว่า "ดอกทอง" คนเฒ่าคนแก่สมัยแต่เก่าเขากล่าวสอนลูกหลานลูกหลานที่เป็นผู้หญิง ให้มีความสำนึกในความเป็นลูกผู้หญิงขยันการงาน งานบ้านงานเรือน อย่าดีแต่แต่งตัวสวยไปวันไม่มีสาระ ก็แปลงเป็นคำด่าว่าเป็นหญิงหลายผัว หลายชายไปโน่นเลย ความหมายก็คือ เขาเปรียบผู้หญิงที่เป็นเหมือน ดอกทองนี้คือ ดอกทองกวาวที่ยืนต้นอยู่ตามทุ่งนาบ้านนอก ดอกสวยงามตระการตา แต่ไม่มีกลิ่นหอม อย่างตำราที่ว่า สวยแต่รูป จูบไม่หอม คนแต่ก่อนเขาหมายความแบบนั้น คนสมัยนี้ก็แปลงสาส์นเสียความหมายของคำไป..เฮ้อออ


บันทึกการเข้า