กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

ผู้เขียน หัวข้อ: เสน่ห์ที่หายไปในเพลงลูกทุ่ง จากคำบอกเล่าของเจนภพ จบกระบวนวรรณ  (อ่าน 7531 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

น้องนางบ้านนา

  • การศึกษาของไทยคือ-อะไรก็ได้ที่ง่ายๆ แล้วได้ปริญญา
  • ชาวบ้านกิตติมศักดิ์
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 2617
  • กระทู้: 546
  • Thank You
  • -Given: 2027
  • -Receive: 2617
ต้นทางบทความ..http://www.oknation.net/blog/print.php?id=770609

เสน่ห์ที่หายไปในเพลงลูกทุ่ง จากคำบอกเล่าของเจนภพ จบกระบวนวรรณ


เสน่ห์ที่หายไปในเพลงลูกทุ่ง
               เสียงเพลงลอยล่องจากสุดปลายนา ทรานซิสเตอร์คลื่นเอเอ็มเครื่องเก่าๆ กำลังขับขานสำเนียงทำนองเพลงที่คนไทยเคยคุ้นหู ก่อนกาลเวลาจะทำให้เสียงนั้นกลายเป็นเพียงอดีตที่ประทับอยู่ในใจให้ได้เพียงหวน ระลึกถึงเท่านั้น
 
              “เพลงลูกทุ่ง” สิ่งที่เปรียบเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ของสังคมไทย บอกเล่าผ่านวิถีชีวิต ตลอดจนเรื่องราวปรากฏการณ์ในสังคมไทย ความแปรเปลี่ยนของวันเวลา โลกยุคกระแสเทคโนโลยีที่ไหลบ่ามากับการแข่งขันทางวัฒนธรรม ทำให้เพลงลูกทุ่งในวันนี้กับวันนั้นในอดีตมีความต่างกัน อย่างสิ้นเชิง
 
เสน่ห์ความงามเก่าก่อน
            บทเพลง คือเครื่องมือหรือช่องทางในการบอกเล่า สะท้อนภาษา ค่านิยม และวัฒนธรรมในสังคมนั้นๆ ครูเจนภพ จบกระบวนวรรณ ได้กล่าวไว้ว่า เพลงลูกทุ่งหนึ่งเพลงเป็นคลังความรู้ในเรื่องของความเป็นไปในอดีตได้ดีมากกว่าตำราหลายเท่า เพราะมันเกิดจากความเป็นจริงธรรมดาที่ถูกหยิบยกมาถ่ายทอดในรูปแบบที่มีศิลปะ
ถ้าเทียบกับในปัจจุบันการทำงานของมันก็คงเหมือนกับ videotape recorder หรือที่เรียกกันติดปากว่า VTR ที่ทำหน้าที่นำเสนอเรื่องราวต่างๆให้อยู่ในระยะเวลาสั้นๆแต่สร้างความเข้าใจต่อผู้ชม เพียงแต่บทเพลงนั้นเป็นการนำเสนอด้วยเสียงที่สื่อความหมายอย่างเดียว ซึ่งคุณสมบัติของมันคือการทำให้ผู้ฟังสามารถมองเห็นภาพจากภาษาถ้อยคำที่สื่อสารออกมา ให้รู้สึกเข้าถึงและเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวนั้นๆได้จริง แม้ว่าผู้ฟังจะไม่เคยพบเจอ หรือสัมผัสมันมาก่อนเลยก็ตาม ดั่งการพรรณนาถึงความงามของสถานที่ในบทเพลงนิราศเวียงพิงศ์ ของ ทูล ทองใจ

    “ คู่เวียงพิงค์คือปิงสุดงาม   สวยอยู่บ่เคยเสื่อมทรามช่างงามซึ้งใจบ่วาย
น้ำใสเย็น มองเห็นจนพื้นหาดทราย  ปลาน้อยแตกฝูงกระจายอยู่ในธาราน่าชม
ช่างพาฝันงามนั้นชวนฉันชื่นชม   ฉันพลอยคลายความโศกตรมนั่งชมน้ำปิงสุขใจ

                เสน่ห์ของเพลงลูกทุ่งในสมัยก่อน คือการบอกเล่าเรื่องทุกเรื่องของคนไทยโดยการใช้ภาษาที่สวยงามสละสลวย เป็นการเล่าเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกระแสนิยมหรือความสนใจของสังคม แต่เป็นการนำสิ่งเล็กๆที่ใครอาจไม่เคยรู้จักหรือสัมผัสมาก่อนได้รับรู้และเห็นภาพ หลายๆ เรื่องราวของคนไทยมีนำเสนอแต่เพียงในเพลงลูกทุ่งเท่านั้น เช่น การพรรณนาถึงสถานที่ในเนื้อเพลงที่กล่าวมาข้างต้น การใช้การละเล่นเด็กไทยมาเล่าเรื่องอย่างเพลงงูกินหาง ของรุ่งเพชร แหลมสิงห์
 
                                         “ เอ่ยถามแม่งูโฉมตรูกินน้ำบ่อไหน    น้องตอบบ่อทรายแล้วย้ายไปมาสองข้าง                                                       ตอบกินบ่อโศกแม่งูย้ายโยกอีกทาง                พ่องูรู้ทางขัดขวางพ่องูรู้ทางขัดขวาง                                              ดักหน้าน้องนาง                                      ฉกลงตรงหางจับลูกนางกิน ” 
 
“ เสน่ห์ของเพลงลูกทุ่งมันคือลมหายใจของคนไทย คือความคิดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรา วิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่เกิด แต่งงาน บวชเรียน กระทั่งการตาย เรื่องราวของคนไทยทุกคน ทุกอาชีพ หมอ ตำรวจ ทหาร ครู ฯลฯ ล้วนแต่มีปรากฏในบทเพลงลูกทุ่ง ” เจนภพ จบกระบวนวรณ
 
 
เพลงลูกทุ่งวิถีชีวิตคนไทย
                                                        “ เสน่ห์ลูกทุ่งนั้นมีมนต์ขลัง             ยินเสียงขลุ่ยดังพริ้วลมพัดมาชายทุ่ง
                                                    เด็กขี่หลังควายผ้าขาวม้าคาดพุง                  ใฝ่ฝันเรืองรุ่งเป็นลูกทุ่งไทย ”
 
                  วันวานที่หวนรำลึกถึงของเพลงลูกทุ่งนั้นเป็นภาพของธรรมชาติ ท้องนาไร่ทุ่ง แม่น้ำ ป่า ภูเขา หรือวิถีชีวิต การทำมาหากิน ภาษาสำเนียง เพลงลูกทุ่งจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังเห็นภาพของประเทศไทยได้ดีที่สุด นอกจากการเปิดอ่านจากตำรา จากคำบอกเล่าของเจนภพ จบกระบวนวรรณ ผู้เชี่ยวชาญทางเพลงลูกทุ่ง ได้เล่าถึงกลิ่นอายในวันวานของเพลงลูกทุ่งให้ฟังว่า ภาพของคณะมิตรเพลง (แฟนคลับ)ที่รับฟังคลื่นวิทยุเอเอ็ม เปรียบเสมือนกระบอกเสียงที่ปลุกให้วิญญาณศิลปินของชาวไร่ชาวนาต้องลุกขึ้น อุ้มลูกจูงหลาน มานั่งปูเสื่อในลานวัดเพื่อรอชมมหรสพชนบท การแสดงด้านหน้าเวทีของวงดนตรีลูกทุ่งที่พวกเขาชื่นชอบ แสงไฟ สี เสียง พร้อมกับ หางเครื่องและนักดนตรี กว่า 50 ชีวิต สร้างสีสันให้เกิดขึ้น มันจึงกลายเป็นสุดยอดเครื่องบันเทิงใจหนึ่งเดียวที่ทำให้ทิวาราตรีนั้นได้ผ่านไปพร้อมความสุข หลังจากที่ตรากตรำกับการทำงานมาทั้งวัน
 
คาราโอเกะยุคทอง กัดกร่อนศิลปะ
                         “ หัวใจติดดินสวมกางเกงยีนส์เก่าเก่า   ใส่เสื้อตัวร้อยเก้าเก้ากอดกระเป๋าใบเดียวติดกาย
                     กราบลาแม่พ่อ หลังจากเรียนจบ                         ม.ปลายลาทุ่งดอกคูณไสวมาอาศัยชายป่าปูน ”
 
              วิวัฒนาการ เพลงลูกทุ่งพัฒนามาถึงยุคเศรษฐกิจทุนนิยม การอพยพของคนชนบทเข้ามาหากินในเมืองกรุงเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนผ่านเพลง ลูกทุ่งอย่างชัดเจน ภาพท้องไร่ท้องนาในบทเพลงเปลี่ยนเป็นวิถีชีวิตของชนชั้นแรงงานกรรมกร โดยศิลปินที่โด่งดังที่สุดคือ ไมค์ ภิรมย์พร (ยาใจคนจน) ได้กลายเป็นตราสินค้าของระบบธุรกิจเพลงลูกทุ่งยุคใหม่ที่ได้เข้ามาลดทอน วัฒนธรรมครอบครัวเพลงลูกทุ่งในอดีต
            ครูเจนภพ เล่าให้ฟังว่าในสมัยก่อนนั้น นายทุนจะมุ่งสร้างศิลปินให้มีแรงดึงดูดให้คนนิยมชมชอบ จากนั้นจึงตั้งเป็นวงดนตรีให้คนซื้อตั๋วมานั่งดู หนึ่งวงดนตรีคือการเลี้ยงชีพของคนหนึ่งร้อยครอบครัว คนที่มีความฝันอยากเป็นนักร้อง นักดนตรี ดาวตลก โฆษก หรือแม้กระทั่งคนที่ต้องการมีรายได้ ทุกคนเข้ามาในวงดนตรีหาเลี้ยงชีพด้วยการเปิดแสดง แบกหาม ทำตามหน้าที่ ทำตามความฝันของตัวเอง นำรายได้ไปเจือจุนครอบครัวให้มีอยู่มีกิน บรรยากาศเต็มไปด้วยการสร้างคน สร้างงาน สร้างชื่อเสียงและความภูมิใจให้กับคนในท้องถิ่น แต่สมัยนี้ไม่ใช่ คาราโอเกะธุรกิจได้ทำลายระบบครอบครัวลูกทุ่ง นักร้องไม่จำเป็นต้องมีนักดนตรี มีเพียงแผ่นซีดี กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็สามารถหากินได้ นักดนตรีตกงาน วงการลูกทุ่งที่อบอุ่นสนิทกันเหมือนคนในครอบครัวก็กลายเป็นการแข่งขัน
                     “ยุคทองของคาราโอเกะ ได้ทำลายศิลปะการร้องเพลงลงอย่างสิ้นเชิง” เจนภพ จบกระบวนวรรณ
 
ลดบอกเล่าวิถีชีวิต นำเสนอสิ่งผิดทางประเพณีเรื่องเพศ
            โลกเดินทางเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์เต็มตัว สิ่งของอำนวยความสะดวกมีรายล้อมอยู่รอบ เทคโนโลยีใหม่ๆ ค่านิยมตะวันตกที่ทะลักทลายเข้าสู่สังคมไทย รวมไปถึงกระแสเพลงเกาหลี ค่านิยมการแต่งกายตามแบบเด็กญี่ปุ่น หลายๆช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้างมากขึ้น  อีกทั้งภาษาแปลกๆ ที่สื่อความหมายผิดเพี้ยนไปจากเดิม คำและความหมายใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นคำว่า “ชิมิ” ในเพลง ชิมิชิมิ ของสามสาววง บลูเบอร์รี่ หรือท่วงทำนองที่ถูกดัดแปลงในเข้ากับวิถีการฟังของคนในสังคมยุคปัจจุบัน เช่น การปรับเปลี่ยนจังหวะ ทำนอง หรือรูปแบบการผสนผสานเครื่องดนตรีสมัยใหม่เข้าไปให้สอดคล้องกับผู้ฟังในปัจจุบัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ความหลากหลายในด้านเนื้อหาและท่วงทำนองแบบเก่าก่อนที่ปรากฏอยู่ในเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่อดีต บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ดังคำเปรียบเปรยของ เจนภพ จบกระบวนวรรณ ที่ว่า พ.ศ.นี้คือวงการลูกทุ่งเปลี่ยนแปลงไปมาก และเข้าสู่ภาวะของ ‘ โลกมืดสีเทา ’
 
                            “ อยากเป็นคนเดียวคนนั้นที่ไม่มีวันได้เป็น   มองไปก็ได้แต่เห็น รักที่ไม่ใช่ของเรา
                  อยากเป็นคนเดียวคนนั้น อยากเป็นแฟนเธอแทนเขา  ฟ้าดินได้ยินหรือเปล่า เสียงใจเหงาๆ พร่ำวอน ”
                                                                                 ( อยากเป็นแฟนเธอแทนเขา ตั๊กแตน ชลลดา)
 

 
                                            “ ห้ามเท่าไรใจมันไม่ฟัง    รู้ว่าผิดหวังยังคงรักเธอต่อไป
                                         หรือเพราะเวรกรรม                     ที่ฉันนั้นทำเมื่อชาติก่อนไว้
                                       จึงต้องตกเป็นชู้ทางใจ                 รักเธอไม่คลายอยากอยู่ใกล้เธอ ”
                                                                                          ( ชู้ทางใจ : อันดา)
 
            รวมไปถึงอีกหลายๆบทเพลงของตั๊กแตน ชลลดา เช่น ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ แฟนเก็บ ฯลฯ บทเพลงเหล่านี้เป็นผลผลิตจากภาวะโลกมืดสีเทาในเพลงลูกทุ่งปัจจุบัน สะท้อนด้านมืดในจิตใจมนุษย์ จากเรื่องผิดเรื่องไม่สมควรถูกเอามาเรียงร้อยให้กลายเป็นความงดงามลึกๆในจิตใจ ผสานเข้ากับศิลปะของเพลงลูกทุ่งจนออกมาเป็นสิ่งสวยงามในความรู้สึกผู้คน
“ถ้าบอกว่าเมื่อก่อนก็มี อย่างเพลงเมียพี่มีชู้ ลองไปฟังดีๆเขามีข้างในซ่อนอยู่ ไม่ได้มาด่าทอเหมือนทุกวันนี้ แล้วก็ไม่ได้มีออกมาหนึ่งเพลงแล้วมีชู้กันทั้งวงการ เพราะยุคนั้นเขาพยายามสร้างความแตกต่างให้เพลงมันหลากหลาย แต่วันนี้พอมีเพลงไหนที่โดน ที่ดัง ก็มีออกมาเหมือนกันหมด ทำนองก็คล้ายกันหมด กลายเป็นเรื่องเดียวกันทั้งวงการ ปัจจุบันนี้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของเพลงลูกทุ่งพูดถึงเรื่องการผิดประเพณีทางเพศไปแล้ว” เจนภพ จบกระบวนวรรณ
อีกปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมรูปแบบการสื่อเนื้อหาในเพลงลูกทุ่งก็คือ การตลาด ที่มุ่งประเด็นไปที่ยอดขาย และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก  ถ้าเรื่องไหนขายดีขายได้ เรื่องนั้นก็จะกลายเป็นต้นฉบับในการผลิตเนื้อหารูปแบบนั้นๆออกมาเหมือนๆกัน จนทำให้คุณค่าความงามของเพลงลูกทุ่งตั้งแต่อดีตนั้นค่อยๆกลืนหายไปกับธุรกิจและการทำศิลปะในเชิงพาณิชย์  จากคุณสมบัติสะท้อนความเป็นอยู่ของคนในสังคม กลับกลายเป็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และมีอยู่ ได้สะท้อนเนื้อหาของบทเพลงเหล่านี้ออกมาเพราะทฤษฎีจากการศึกษาตลาดอย่างนั้นหรือ ?
               “ครูมองว่ามันไม่ใช่ศิลปะ แต่เพลงลูกทุ่งสมัยนี้มันเป็นสินค้า ในเชิงธุรกิจทางการตลาด เพลงลูกทุ่งสมัยก่อนเป็นศิลปะบริสุทธิ์ แต่ในสมัยนี้มันเป็นศิลปะเชิงพาณิชย์และความเป็นศิลปะก็ค่อยๆลดลงๆ”
 
 
โลกก้าวหน้า ลูกทุ่งต้องพัฒนาตาม
 “ถ้าไม่มีเมื่อวาน จะมีวันนี้ได้ยังไง เพราะเมื่อวาน เพราะสิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ รอให้คนรุ่นต่อๆมาเดิน ถนนเมื่อก่อนอาจจะเป็นดินลูกรัง รุ่นครูมาทำให้มันเป็นถนนคอนกรีต แต่สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องทำคือพัฒนาให้มันยิ่งใหญ่กว่านั้น เป็นถนนลอยฟ้า”  ครูเจนภพรำพึง
 
       “ ความเป็นไทย ” มีหลายสิ่งที่ทรงคุณค่าและคู่ควรแก่การอนุรักษ์ไว้มากมาย ทั้งภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยมที่ดีงาม สิ่งซึ่งเชิดชูความเป็นไทยให้แก่คนในสังคมโลกได้ตระหนักและชื่นชม แล้วเหตุใดคนไทยกันเองถึงละเลย มองข้าม และพยายามอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงมันให้เข้ากับกระแสคลื่นที่ไม่มีวันสงบ ทุกวันนี้เหมือนเราปล่อยให้สิ่งที่บรรพบุรุษคนรุ่นหลัง ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจกันแผ้วถางสร้างหนทางไว้ให้คนรุ่นต่อๆมาเดินนั้น เป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ไร้ความหมาย ไม่มีคนมาก่อร้างสร้างมันให้ยิ่งใหญ่และมั่นคงกว่าเดิม
 
    ศิลปะของจริง ไม่เป็นสิ่งลวงสังคม
 
             คนรุ่นใหม่อย่างเราๆน่าลองหันกลับมามองกันสักนิด แล้วอาจจะสัมผัสได้ว่าสิ่งที่งดงามที่สุดมักมาจากตัวตนลึกๆ จากเนื้อแท้ของเราเองนั่นแหละ อย่ามัวสวมหน้ากากของกระแสนิยมที่มาแล้วก็จากไปวนเวียนเป็นวัฏจักรแบบไม่รู้จบ เปิดใจให้กว้างๆ เรียนรู้และศึกษาให้เยอะๆ อย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งที่คนเก่าๆทำมามันล้าสมัย เชย ลองมองดู แล้วเข้าไปสัมผัสให้ถึงแก่น ค้นหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมเสน่ห์จริงๆของเพลงลูกทุ่งถึงโดนดูดกลืนไปเฉกเช่นปัจจุบันนี้ อย่าสร้างศิลปะหลอกๆ ขึ้นมาลวงทั้งตัวเองและคนอื่น เพราะมันไม่ใช่ของจริง
อนุรักษ์เพลงลูกทุ่งไว้ซึ่งความงดงามและทรงคุณค่าคู่สังคมไทย สานต่อให้มันคงอยู่แบบไม่มีวันตายทั้งจากใจคน และจากวงการเพลง โลกปัจจุบันหมุนไปไกล และมันก็นำพาสื่อ นำพาช่องทางใหม่ๆที่สามารถสร้างสรรค์ พัฒนาของเดิมให้ทรงคุณค่ายิ่งๆขึ้นไปได้อีกไม่รู้จบ ใช้ประโยชน์จากสิ่งใหม่ๆที่มีในปัจจุบัน ผสมผสานกับศิลปะในอดีตให้ลงตัวอย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อเวลาบรรพบุรุษและผู้ร่วมรักษามองมาได้ชื่นใจ และหายเหนื่อย
 
ความพร้อม ต้องหล่อหลอมศิลปะ
“ความสุขของคนเป็นครู คืออยากให้คนรุ่นใหม่และลูกศิษย์เก่งกว่า เพราะถ้าเขาเก่งกว่าศิลปะของเราจะอยู่ได้ เราก็จะนอนตายตาหลับ แต่คำถามคือทำไมยังไม่มีคนเก่งเท่า ชาย เมืองสิงห์ หรือ ผ่องศรี วรนุช ทั้งที่คนรุ่นใหม่ก็มีองค์ประกอบ มีตัวช่วย มีความพร้อมทุกอย่าง แต่ทำไมถึงยังสู้เขาไม่ได้ ?”
                   คำถามนี้นอกจากจะทวงถามคนรุ่นปัจจุบันแล้ว ยังเป็นลมแผ่วเบาที่มีพละกำลังมหาศาลในการสะกิดเตือนถึงความคิดและความรู้สึกของคนทำเพลง รวมไปถึงคนมีฝันอีกหลายๆคน ให้หันกลับมามองสิ่งที่กำลังเป็นไปในวงการเพลงลูกทุ่งในปัจจุบัน
อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่เพลงลูกทุ่งจะถูกนำเสนอในรูปแบบที่แปลกแตกต่างไปจากที่เคยเป็นมา ตามพัฒนาการของสังคม และวิวัฒนาการของโลกที่หมุนไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะวัตถุดิบสำคัญในการเลือกสรรมาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่งนั้น หาได้จากการมีอยู่และเป็นไปในสังคม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าทุกคนมีใจรักษาและพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ ย่อมต้องไม่ลืมว่าแท้จริงแล้ว เสน่ห์ของเพลงลูกทุ่งคืออะไร และหวงแหนเอกลักษณ์นั้นไว้ให้คงอยู่สืบต่อไป


บันทึกการเข้า
โชคอยู่ที่การแสวงหา วาสนาอยู่ที่การกระทำ
จงโง่บางโอกาส จงฉลาดบางเวลา
-

** กระทู้แรกที่ควรอ่านเมื่ออยู่บ้านเพลงไทย **

ลุงชัยนรา

  • ความเปลี่ยนแปลง เป็นนิรันดร์
  • ชาวบ้านกิตติมศักดิ์
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 3715
  • กระทู้: 910
  • Thank You
  • -Given: 3245
  • -Receive: 3715
  • ชีวิตนี้ยอมพลี เพื่อแผ่นดิน
    ผมชื่นชม และชื่นชอบ งานเขียนของคุณ เจนภพ มานานพอดู ทั้งที่รวมเป็นเล่ม และในหนังสือต่างๆ และยังฟังการจัดรายการของท่าน ได้สาระ ได้ความรู้ ได้ข้อมูล ต่างๆมามากมาย
ใช่ครับ...โลกเปลี่ยนไป..ธรรมชาติ เปลี่ยนไป แนวคิดในการแต่งเพลงของครูเพลงยุคนี้ ก็ย่อมเปลี่ยนไป ตามสภาวะ สิ่งแวดล้อม..สำหรับตัวผมเองแล้ว เพลงยุคใหม่ ไม่มีเพลงไหน ที่เจาะเข้าถึงความรู้สึก เข้าถึงอารมณ์ เช่นบทเพลงเก่าๆ ที่ครูเพลงหลายท่าน ได้เรียงร้อย โยงใย ทั้งอารมณ์ ธรรมชาติ วิถีชีวิต ในอดีตมาให้เราไก้ เสพย์ และซึมซับ แต่...ทุกสิ่ง..ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกฎธรรมชาตินั่นคือ...ความเปลี่ยนแปลง เป็รนิรันดร์...
            ขอบคุณ คุณเหมยขาบมากๆ ครับ ที่นำบทความชิ้นนี้ มาฝากกันอ่าน เราโหยหาอดีต..เรามาร่วมย้อนระลึกถึงความทรงจำดีๆกันได้ กับบทเพลง เก่าๆ ที่บ้านเพลงไทยของเรา ที่นี่ มีกูรู มีผู้อนุรักษ์ เก็บไว้ เพื่อแบ่งปันกันฟัง...ที่นี่บ้านเพลงไทย ความภูมิใจ ของคนไทยรักษ์เพลง...


บันทึกการเข้า

ชญาดา

  • กรรมการบ้านเพลงไทย
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 3031
  • กระทู้: 959
  • Thank You
  • -Given: 2112
  • -Receive: 3031
เพลงจะดัง นักร้องจะดังก็ต้องมีการโปรโมท  การแต่งเพลงก็เพื่อเอาใจคนฟังเน้นกลุ่มวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่  ปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจของค่ายเพลงไปแล้ว เพลงยุคใหม่ จึงไม่เป็นอมตะอีกต่อไปค่ะ


บันทึกการเข้า

ลือ

  • ฟังดนตรีเถิด ชื่นใจ...
  • ชาวบ้านกิตติมศักดิ์
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 4069
  • กระทู้: 864
  • Thank You
  • -Given: 3919
  • -Receive: 4069
  • ชอบเพลงลูกกรุงเก่าๆครับ
  1.  เวลาไปดูวงดนตรีลูกทุ่งมาเปิดวิก กั้นล้อมผ้า เล่นที่แถวบ้าน...
     พอได้ยิน และเห็นนักดนตรีเป่าทรัมเป็ตบนเวที แผดเสียงดังก้อง...
         ขนลุกซู่.....สะใจผมจริงๆครับ ชอบจริง เครื่องเป่า...
       (ประทับใจ วง"จิระบุตร"ของ รังสรรค์ จิระสุข ครับ...
              นักดนตรีเพียบ เต็มเวที  เล่นเก่งทุกคน ไม่ป๋องแป๋งเหมือนบางวง)
     ผมว่า เพลงลูกทุ่ง ต้องคู่กับดนตรี จากวงคอมโบ้(คอมโบ-ที่มีเครื่องเป่า) หรือ สตริงคอมโบ เท่านั้นครับ...

  " วงคอมโบ (Combo Band) หมายถึงวงดนตรีขนาดเล็ก มุ่งประกอบการขับร้อง มีจำนวนเครื่องดนตรีไม่แน่นอน แล้วแต่ความสะดวก แต่หลักๆ มักประกอบด้วย ทรัมเป็ต เทเนอร์แซกโซโฟน อัลโตแซกโซโฟน ทรอมโบน เปียโน กีตาร์คอร์ด กีตาร์เบส กลองชุด เครื่องประกอบจังหวะอื่นๆ"
         "สตริงคอมโบ (String combo) เป็นวงดนตรีเครื่องสายอย่างตะวันตกขนาดเล็ก เกิดใหม่จากการดัดแปลงและรวมวงวงคอมโบเข้ากับวงชาโดว์"

        ส่วนวงดนตรีแบบอื่น ถ้านำมาประกอบเพลงลูกทุ่ง
             คุณค่าทางอารมณ์ลูกทุ่ง ดูจะน้อยลงไปนะครับ เช่น  วงชาโดว์

    "วงชาโดว์ (Shadow Band) เป็นวงขนาดเล็กเช่นกัน มีกีตาร์ลีด กีตาร์คอร์ด กีตาร์เบส กลองชุด"

        ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย วงสตริงคอมโบ
            http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%9A


2. เสียอย่างเดียว...วันที่ไปดู วง"จิระบุตร"(แม้จะได้เห็นตัวจริง ของ "กิ่งดาว จันทร์สวัสดิ์)

        ตอนสายๆ เขาถางป่าในสวนยาง เพื่อปรับพื้นที่ เป็นวิกล้อมผ้าของวงดนตรี...
              มีฝนตก หลังถางป่าปรับพื้นที่แล้วเสร็จ....
       แต่ก็ซา และหยุด ทันล้อมผ้า... และช่วงทำการแสดง ฝนก็ไม่ตกเลย

            แต่เจ้าประคุณ ณ ใต้เสื่อกระจูด ที่พวกผมเอามาปูนั่งกันนั้น...
       เจอกองทัพมดคันไฟ หนีน้ำฝน ขึ้นจากรู กรูเข้าเล่นงาน...
                   .... อานเชียวครับ
               
                         :54 :54 :54


บันทึกการเข้า