ก่อนอื่นขอโอกาสพูดถึงคำว่าธุดงค์ก่อนว่า คืออะไร และมีการปฏิบัติกันมาอย่างไรตั้งแต่สมัยพุทธกาล
ธุดงค์ (บาลี: ธุตงฺค, อังกฤษ: Dhutanga) เป็นวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ แต่ไม่มีการบังคับ แล้วแต่ผู้ใดจะสมัครใจปฏิบัติ เป็นอุบายวิธีกำจัดขัดเกลากิเลส ทำให้เกิดความมักน้อยสันโดษยิ่งขึ้น ไม่สะสม เพื่อให้เบาสบายไปมาได้สะดวกด้วยไม่มีภาระมาก เหมือนนกที่มีเพียงปีกก็บินไป มิใช่เพื่อสะสมหรือเพื่อลาภสักการะและชื่อเสียง ถ้าทำเพื่อลาภ เพื่อชื่อเสียง ต้องอาบัติทุกกฎ
โดยรูปศัพท์ ธุดงค์ แปลว่า องค์คุณเป็นเครื่องกำจัดกิเลส, องค์คุณของผู้กำจัดกิเลส หรือ การสมาทานเพื่อเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอันอันตรายต่อสัมมาปฏิบัติ
ธุดงค์นั้น เป็นศัพท์เฉพาะที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาท โดยพระพุทธเจ้าตรัสแสดงธุดงค์ลักษณะต่าง ๆ ไว้หลายพระสูตร เมื่อรวมแล้วจึงได้ทั้งหมด 13 ข้อ
ธุดงค์ในปัจจุบันยังคงเป็นแนวการปฏิบัติที่เป็นที่นิยมของชาวพุทธเถรวาททั่วไปในหลายประเทศ โดยไม่จำกัดเฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น คฤหัสถ์ทั่วไปก็ถือปฏิบัติได้บางข้อเช่นกัน
ปัจจุบัน คำว่า ธุดงค์ ในประเทศไทยถูกใช้ในความหมายว่าเป็นการเดินจาริกของพระสงฆ์ไปยังที่ต่าง ๆ หรือเรียกว่า การเดินธุดงค์ ซึ่งความหมายนี้แตกต่างจากความหมายเดิมในพระไตรปิฎก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธุดงค์ คือ ข้อปฏิบัติละเอียดเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อความมักน้อยสันโดษ มี ๑๓ ข้อ ซึ่งภิกษุ สามารถรักษาได้ครบ ว่าด้วยเรื่องต่างๆ เช่น บิณฑบาต จีวร เสนาสนะ และอิริยาบถ เป็นต้น สำหรับภิกษุณี สามเณร สามเณรี และคฤหัสถ์ สามารถรักษาได้บางข้อลดไปตามลำดับ เช่น ที่คฤหัสถ์รักษาได้ก็มี ทานมื้อเดียว ทานอาสนะเดียว ภาชนะเดียว เป็นต้น (การเดินป่าไม่ปรากฏในธุดงค์ ๑๓)
ทั้งหมดเป็นความประพฤติด้วยความเห็นประโยชน์ ของการเป็นผู้อยู่ขัดเกลากิเลส
ที่จะประพฤติด้วยอัธยาศัยตัดความยุ่งยาก ดิ้นรนแสวงหาที่ทำให้เสียเวลา หรือ
ประโยชน์อื่นไป
จากคำถามที่ว่า มีปฏิปทาอย่างไร อย่างไรจึงชื่อว่าธุดงค์ ธุดงค์ มี 13 ข้อดังนี้คือ
1.การถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คือการใช้แต่ผ้าเก่าที่คนเขาทิ้งเอาไว้ตามกองขยะบ้าง
ข้างถนนบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง นำผ้าเหล่านั้นมาซัก ย้อมสี เย็บต่อกันจนเป็นผืนใหญ่
แล้วนำมาใช้ งดเว้นจากการใช้ผ้าใหม่ทุกชนิด
2.การถือผ้า 3 ผืน (ไตรจีวร) เป็นวัตร คือการใช้ผ้าเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น อันได้แก่
สบง(ผ้านุ่ง) จีวร สังฆาฏิ
3. การถือบิณฑบาตเป็นวัตร คือการบริโภคอาหารเฉพาะที่ได้มาจากการรับบิณฑบาต
เท่านั้น ไม่บริโภคอาหารที่คนเขานิมนต์ไปฉันตามบ้าน
4.ถือการบิณฑบาตตามลำดับบ้านเป็นวัตร คือจะรับบิณฑบาตโดยไม่เลือกที่รักมักที่
ชัง ไม่เลือกว่าเป็นบ้านคนรวยคนจน ไม่เลือกว่าอาหารดีไม่ดี มีใครใส่บาตรก็รับไปตาม
ลำดับ ไม่ข้ามบ้านที่ไม่ถูกใจไป
5. ถือการฉันในอาสนะเดียวเป็นวัตร คือ ในแต่ละวันจะบริโภคอาหารเพียงครั้งเดียว
เมื่อนั่งแล้วก็ฉันจนเสร็จ หลังจากนั้นก็จะไม่บริโภคอาหารอะไรอีกเลย นอกจากน้ำดื่ม
6.ถือการฉันในบาตรเป็นวัตร คือจะนำอาหารทุกชนิดที่จะบริโภคในมื้อนั้น มารวมกัน
ในบาตร แล้วจึงฉันอาหารนั้น เพื่อไม่ให้ติดในรสชาดของอาหาร
7.ถือการห้ามภัตที่ถวายภายหลังเป็นวัตร คือเมื่อรับอาหารมามากพอแล้ว ตัดสินใจ
ว่าจะไม่รับอะไรเพิ่มอีกแล้ว หลังจากนั้นถึงแม้มีใครนำอะไรมาถวายเพิ่มอีก ก็จะไม่รับ
อะไรเพิ่มอีกเลย ถึงแม้อาหารนั้นจะถูกใจเพียงใดก็ตาม
8. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร คือจะอยู่อาศัยเฉพาะในป่าเท่านั้น จะไม่อยู่ในหมู่บ้านเลย
เพื่อไม่ให้ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองรบกวนการปฏิบัติ หรือเพื่อป้องกันการ
พอกพูนของกิเลส
9. ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร คือจะพักอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้น งดเว้นจากการอยู่ใน
ที่มีหลังคาที่สร้างขึ้นมามุงบัง
10. ถือการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร คือจะอยู่แต่ในที่กลางแจ้งเท่านั้น จะไม่เข้าสู่ที่มุง
บังใดๆ เลย แม้แต่โคนต้นไม้ เพื่อไม่ให้ติดในที่อยู่อาศัย
11.ถือการอยู่ในป่าช้าเป็นวัตร คือจะงดเว้นจากที่พักอันสุขสบายทั้งหลาย แล้วไป
อาศัยอยู่ในป่าช้า เพื่อจะได้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ไม่ประมาท
12. ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดไว้ให้เป็นวัตร คือเมื่อใครชี้ให้ไปพักที่ไหน หรือ
จัดที่พักอย่างใดไว้ให้ ก็พักอาศัยในที่นั้นๆ โดยไม่เลือกว่าสะดวกสบาย หรือถูกใจ
หรือไม่ และเมื่อมีใครขอให้สละที่พักที่กำลังพักอาศัยอยู่นั้น ก็พร้อมจะสละได้ทันที
13.ถือการนั่งเป็นวัตร คือจะงดเว้นอิริยาบถนอน จะอยู่ใน 3 อิริยาบทเท่านั้น คือ ยืน
เดิน นั่ง จะไม่เอนตัวลงให้หลังสัมผัสพื้นเลย ถ้าง่วงมากก็จะใช้การนั่งหลับเท่านั้น
เพื่อไม่ให้เพลิดเพลินในการนอน
การถือธุดงค์ เป็นไปเพื่อความักน้อย สันโดษ ขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่า
มักน้อย สันโดษ เป็นผู้ขัดเกลา จึงเป็นเรื่องของอัธยาศัย ไม่ใช่ เรื่ิงที่จะต้องทำตาม
เมื่อทราบแล้วว่าธุดงค์เป็นข้อวัตรที่พระพุทธองค์ทรงบอกไว้ว่าทำอย่างนี้แล้วจะขัดเกลาได้อย่างนั้น ต่อไปก็ลองมาดูการประพฤติปฏิบัติในสมัยพุทธกาล
และจากคำถามที่ว่าแล้วธุดงค์ในครั้งโน้น และธุดงค์ในสมัยนี้ เหมือนหรือต่างกันโดยประการอย่างไรบ้าง
- ธูดงค์ ไม่ว่าในสมัยไหน หากถูกตอง ก็ต้องเป็นกุศลธรรม เป็น ความดี ที่เป็นธรรม
เครือ่งขัดเกลากิเลส เพราะ ธุดงค์ ก็คือ สภาพธรรมที่ขัดเกลากิเลส เมื่อเป็นสภาพ
ธรรมที่เป็นสภาพธรรมที่ดี ไม่ว่าสภาพธรรมทีีดีเกิดในยุค ใด สมัยใด สภาพธรรมนั้น
ก็ไม่เปลี่ยนไป ครับ เพียงแต่ว่า หากว่า บุคคล หรือ ผุ้ที่มีความไม่รู้ มากไปด้วยอกุศล
ย่อม อ้างชื่อ ธุดงค์ แต่ จิตและ ข้อวัตรปฏฺบัติ ย่อมไม่เป็นไปตามธุดงค์ เพราะ จิตไม่
เป็นธุดงค์ เพราะ ไม่ได้ขัดเกลากิเลส แต่เพิ่มกิเลส
***************************