สิละ , ซีละ หรือไทยมุสลิมทางภาคใต้ เรื่ยกว่า ดีกา , บือดีกา เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เน้น ให้เห็น ลีลาการเคลื่อนไหวอย่างสวยงามซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอย่าง หนึ่งของชาวไทยมุสลิม การต่อสู้แบบสิละนี้มีมาตั้งแต่ 400 ปีมาแล้ว โดย กำเนิดขึ้นที่เกาะสุมาตรา
คำว่า สิละ บางครั้งเขียนหรือพูดเป็น ซีละ หรือ ซิละ เข้าใจว่ารากศัพท์มาจาก ศิละ ภาษาสันสกฤตเพราะดินแดนชวามลายูในอดีตเป็น ดินแดนของอาณาจักศรีวิชัยซึ่งมีวัฒนธรรมอินเดียเป็นแม่บทสำคัญ ดังปรากฎคำ สันสกฤตอยู่ ชึ่ง สิละนั้นหมายถึง การต่อสู้ด้วยน้ำใจ นักกีฬา ผู้ เรียนวิชานี้ต้องมีศิลปะมีวินัยที่จะนำกลยุทธ์ไปใช้ป้องกันตัว มิใช่ไปทำ ร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน ก่อนการฝึกสิละผู้เรียน จะต้องเตรี ยมข้าวของเพื่อไหว้ครูก่อนประกอบด้วย ผ้าขาว ข้าวสมางัด ด้ายขาว และ แหวน 1 วงมามอบให้กับครูฝึก ผู้เรียนจะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 15 ปี ระยะเวลาในการเรียน 3 เดือน 10 วัน (หรือ 100 วัน)จึงถือว่า จบหลักสูตร โดยมีครูผู้สอน 1 คนต่อศิษย์ผู้เรียน 14 คนในรุ่นหนึ่งๆคนที่เก่งที่สุดจะได้รับแหวนจากครูและได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าทีมและสอนแทนครูได้
สิละ ปัจจุบันอันวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและของชาติกำลังจะ ถูกกลืนและเลือนหายไปจากสังคมคนไทยมุสลิมภาคใต้ของไทย เนื่องมาจากสภาวะการณ์ทางสังคม การเอาใจใส่ช่วยเหลือจากสังคมหลักและการขาดการเข้าใจ เข้าถึงวัฒนธรรมของท้องถิ่นของหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลและให้การช่วยเหลือในการสนับสนุน
อนุรักษ์วัฒนธรรมของท้องถิ่นอันเป็นรากเหง้าที่เป็นต้นแบบนำไปสู่ศิลปะการแสดงต่างๆนานาของสังคมประเทศชาติรากเหง้าที่เป็นต้นแบบ
นำไปสู่ศิลปะการแสดงต่างๆนานาของสังคมประเทศชาติหลักอันสิ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชาติ สิละกำลังตกอยู่ในสภาวการณ์ที่น่าเป็น
ห่วง อย่างยิ่ง สิละนับตั้งแต่สมัยอดีตเป็นทั้งศิลปะที่ใช้ในการต่อสู้จวบจน กระทั่งมีวิวัฒนาการมีการปรับเปลี่ยนใช้เป็นการร่ายรำต่อสู้อวดลีลาท่า ทางกระบวนการต่อสู้อย่างสวยงามสมจริง สิละนี้เป็นศิลปะการต่อสู้ที่คล้าย กับมวยจีนหรือกังฟู ทำให้ชวนนึกไปถึงการสืบเนื่องมาจากพ่อค้าชาวจีน เข้ามาทำการค้าขายในเมืองปัตตานีดังในตำนานเมืองปัตตานี หลายตำนานที่มีชาว จีนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อเข้ามาทำการค้าขายก็อาจได้เอาศิลปะการ ต่อสู้ของตนเองเข้ามาผสมผสานเข้ากับการต่อสู้แบบพื้นเมือง อย่างไรก็ตาม ยังมีที่มาของสิละหลายสำนวนที่ยังหาข้อสรุปที่แน่นอน
ไม่ได้
ที่มาเอกสารประกอบการเขียน : ประพันธ์ เรืองณรงค์.สิละ".สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่มที่ 16 (2542): 8029 -
สิละเป็นคำที่มาจากภาษามลายูเป็นการต่อสู้ป้องกันตัวที่พัฒนามาเป็นศิลปการรำ ผู้แสดงจะต้องรำไหว้ครูกันคนละทีก่อนจะต่อสู้กันประมาณ10นาที โดยใช้เครื่องดนตรีจำพวกฆ้อง กลองแขกและปี่ชวา ประกอบการแสดง ผู้เล่นแต่งตัวแบบมลายูนุ่งกางเกงขายาว สวมเสื้อแขน สั้นหรือแขนยาว นุ่งผ้าทับบนเสื้อปิดลงไปเหนือเข่าเล็กน้อย ใช้ผ้าโพกศรี ษะ ส่วนสถานที่เล่นนิยมใช้พื้นดิน โดยให้ผู้นั่งล้อมวงดูโดยรอบ
การละเล่นนี้สันนิษฐานกันว่า เป็นศิลปดั้งเดิมของชาวเมนังกาเบาในสุมาตรา และได้แผ่ขยายมายังมลายูจนถึงภาคใต้ของไทย
สิ ละ คือ การแสดงการต่อสู้ คำว่า สิละ เข้าใจว่าจะมาจากภาษาสันสกฤตที่หมาย ถึง การส่งเสริมความซื่อสัตย์ เพราะผู้ที่เรียนวิชาสิละต้องปฏิญาณ
ว่าจะ ใช้วิธีนี้ป้องกันตนเองเท่านั้น ไม่ข่มเหงรังแกใคร กล่าวกันว่ามีอายุ กว่า 400 ปี มาแล้ว โดยมีกำเนิดที่เกาะสุมาตรา แต่เดิมนั้นไม่ค่อยมีแบบ
แผนอะไรมากนัก เพราะเป็นการเล่นอย่างหนึ่ง โดยมิได้มุ่งหมายจะต่อสู้กันอย่างจริงจัง ปรากฏว่าในพิธีแต่งงานจะมีการแสดงสิละอยู่ด้วย
เรียกว่า สิละมีดาน คือ สิละข้าวเหนียว ซึ่งในบางท้องถิ่นก็ใช้ในการหมั้นก่อนแต่งงาน
ผู้ แสดงสิละจะใช้มือเปล่าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลวม ๆ โพกผ้าบนศีรษะ และจะเริ่ม ด้วยการร่ายรำซึ่งมีตำนานกล่าวว่ามาจากดอกอินทนิล(ดอกบองอร์) ที่ไหลไป ตามน้ำ จึงมีทั้งหมุนตัวและเดินคดเคี้ยวไปมา การต่อสู้จะเริ่มด้วยการใช้ปี่ และกลอง ฆ้องคล้ายมวยไทย ปัจจุบันกลายเป็นกีฬาอย่างหนึ่งของประเทศอาเซี่ยน
องค์ประกอบในการแสดง
๑. ผู้แสดง ซีละคณะหนึ่ง ๆ มีอย่างน้อย ๕ คน ผู้เล่นดนตรี ๓ คน ผู้เล่นซีละ ๒ คน การเล่นซีละจะเป็นการแสดงศิลปะการต่อสู้เป็นคู่ ต่อสู้ตัวต่อตัว ผู้เล่นจึงมี ๒ คนเป็นอย่างน้อย
๒. เครื่องดนตรีซีละเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีดนตรีประกอบเช่นเดียวกับ มวยไทยมี ๓ ชนิด คือ ฆือแน(กลองแขก) จำนวน ๑ - ๒ ใบ ฆง(ฆ้อง) จำนวน ๑ ใบ ซูนา(ปี่) จำนวน ๑ เลา
๓. เวทีการแสดง ปกติแสดงกันบนพื้นดิน สนามหญ้า หรือลานบ้าน ถ้ามีการรับเชิญไปแสดงบนเวทีก็แสดงได้ แต่ไม่ค่อยนิยมกัน
วิธีการแสดง
ผู้แสดงนิยมแต่งกายรัดกุม นุ่งกางเกงขายาว (แบบกางเกงจีน) ใส่เสื้อยืดคอกลมมีแขน มีผ้าลวดลายสวยงามพันทับจากเอวถึงเหนือเข่าและใช้ผ้าคาดสะเอว ไม่สวมรองเท้า ถ้าเป็นซีละมือเปล่าก็จะไม่พันมือ ถ้าเป็นซีละกริชจะเหน็บกริชด้วย เมื่อดนตรีประโคมนักซีละก็จะก้าวออกมาสู่เวทีทั้งคู่ แล้วผลัดกันไหว้ครูทีละคน และทำความเคารพผู้ชมโดยการโค้งคำนับ นั่งหรือยืนไหว้ หลังจากนั้นคู่ต่อสู้จะออกมาสลามัตต่อกัน (การทำความเคารพแบบพื้นเมือง) คือยื่นมือทั้งสองออกไปขอสัมผัสกัน แล้วเอาฝ่ามือทั้งสองข้างของตนมาแตะที่หน้าผากกับหน้าอก ต่อจากนั้นนักซีละทั้งคู่ก็เริ่มแสดงลวดลายท่าร่ายรำ ดูชั้นดูเชิงกันก่อน ต่างก็ให้คู่ต่อสู้เห็นกล้ามเนื้ออันทรงพลังของตน เพื่อเป็นการข่มขวัญ บางครั้งจะกระทืบเท้า ตบมือฉาด ๆ หรือใช้ฝ่ามือตบต้นขาของตนให้เกิดเสียงดังเพื่อข่มคู่ต่อสู้
พอแสดงลวดลายร่ายรำ กระทืบเท้า ตบมือ ตบขา ขู่สำทับดูชั้นเชิงกันพอสมควรแล้ว ดนตรีจะประโคมเร่งเร้าให้นักซีละคึกคะนอง นักซีละก็จะขยับเข้าใกล้กันและหาจังหวะเข้าห้ำหั่นซึ่งกันและกัน เพื่อให้คู่ต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้ เช่น หาจังหวะใช้มือหรือเท้าฟาดลำตัวหรือกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของคู่ต่อสู้ ถ้าคู่ต่อสู้เตะ อีกฝ่ายหนึ่งก็มักแก้โดยการใช้มือผลักหรือปัดขาคู่ต่อสู้แล้วชกสวนตรงหน้า หรือลำตัวอย่างฉับไว หรือหาจังหวะที่จะใช้น้ำหนักตัวทุ่มทับลงบนบ่า คู่ต่อสู้ก็พยายามต่อสู้แล้วขัดขาให้คู่ต่อสู้ล้ม เมื่อฝ่ายหนึ่งเข้าต่อสู้แบบนี้คู่ต่อสู้ที่ฉลาดจะแก้ไขโดย พยายามสปริงตัวออกห่าง หรือถ้าล้มไปแล้วก็จะพยายามที่จะจับจุดอ่อนของคู่ต่อสู้เพื่อทำลายพลัง มือจึงไขว่คว้าป้องปัดเป็นพัลวัน ขณะนั้นดนตรีจะเร่งรุดโหมประโคมในจังหวะกระชั้นเป็นการเร่งความระทึกใจแก่ ผู้ชม และเพิ่มความคึกคะนองให้แก่นักซีละ
เมื่อนักซีละแสดงไปจนหมดลีลา ซึ่งใช้เวลาประมาณคู่ละ ๑๕ - ๒๐ นาที หรือเมื่อมีการแพ้ชนะกันแล้วทั้งคู่จะถอยห่างออกจากกัน แล้วทำความเคารพผู้ชม ทำความเคารพต่อกันเป็นการจบสิ้นสำหรับการแสดงซีละคู่นั้น ถ้ามีการแสดงคู่อื่นอีกก็ก้าวออกไปสู่เวทีแล้วเริ่มต้นตลอดจนจบลงด้วยลักษณะ เดียวกัน
การเล่นซีละไม่มีการพักเป็นยก ไม่มีการให้น้ำ ไม่มีพี่เลี้ยง ไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนและไม่มีกรรมการ ทั้งนี้เพราะนักซีละแต่ละคนจะมีระเบียบวินัยในตนเอง มีความซื่อสัตย์เคารพกติกา ไม่เอารัดเอาเปรียบคู่ต่อสู้โดยใช้เล่ห์เหลี่ยมนอกลู่นอกทางศิลปะของซีละ
กติกาในการต่อสู้มีข้อห้ามดังนี้
๑. ห้ามใช้นิ้วแทงตา
๒. ห้ามบีบคอ
๓. ห้ามชกต่อยแบบมวย
๔. ห้ามใช้เข่าแบบมวยไทย
๕. ห้ามเตะหรือตัดล่าง
๖. ห้ามใช้ศอก ทั้งศอกสั้นและศอกยาว
สำหรับเกณฑ์การตัดสินนั้น ถ้าฝ่ายใดสามารถทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงได้เพียงฝ่ายเดียวโดยที่ตนไม่ล้มเลยถือว่าฝ่ายนั้นชนะขาด แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ล้มหรือล้มพอ ๆ กัน ผู้ชมก็จะเป็นผู้ตัดสินโดยใช้เสียงปรบมือซีละนิยมเล่นกันในหมู่ชายเท่านั้น ในหมู่หญิงไม่นิยม และสามารถพูดได้ว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงเล่นซีละเลย ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากการเล่นซีละเป็นการแสดงหรือกีฬาที่ใช้กำลังมาก มีลีลาท่าทางที่ไม่ต้องกับธรรมเนียมของผู้หญิงไทยมุสลิม ซึ่งเรียบร้อย นิ่มนวล อ่อนหวาน ไม่นิยมการเล่นที่โลดโผนโจนทะยาน ซีละจึงเป็นการเล่นที่ผิดเพศสำหรับหญิงไทยมุสลิม ความเชื่อและวัฒนธรรมอื่นที่เกี่ยวข้องการเล่นซีละมีความเชื่อและวัฒนธรรมอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องไม่น้อยทีเดียว นับตั้งแต่การเริ่มฝึกหัด ศิษย์ใหม่จะต้องไหว้ครูมอบตัวยอมรับว่าเป็นศิษย์ของครูเสียก่อนที่จะมีการ เรียนการสอน แต่การไหว้ครูของซีละไม่จำเป็นที่จะต้องทำพิธีในวันพฤหัสบดี เพราะไม่ได้นับถือเทพเจ้าพฤหัสบดีว่าเป็นครูของเทพทั้งหลายเหมือนคติที่ชาว ไทยนับถือกัน และไม่ได้กระทำอาการกราบเพราะผิดหลักการทางศาสนาที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ตลอดทั้งไม่ต้องทำกันทุก ๆ ปี ศิษย์คนหนึ่งจะประกอบพิธีไหว้ครูเพียงครั้งเดียวเมื่อเข้ามาเป็นศิษย์ใหม่ ของสำนักเท่านั้น
โอกาสที่แสดง
ใช้แสดงในงานเทศกาลสำคัญ งานแก้บน งานเข้าสุหนัต หรืองานเฉลิมฉลองในโอกาสต่าง ๆ
คุณค่า
ผู้แสดงได้แสดงไหวพริบด้านศิลปะการต่อสู้ เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอนามัยและสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
ขอขอบคุณข้อมูล จากวิกิพีเดีย
ขอขอบคุณภาพจาก อินเตอร์เน็ต
ขอขอบคุณผู้ฝึกสอนการวางภาพ อ.ชาติ.....