กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

ผู้เขียน หัวข้อ: ความรู้เรื่องล้างพิษ คุณรู้ดีแล้วจริงหรือ ?  (อ่าน 3252 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

น้องนางบ้านนา

  • การศึกษาของไทยคือ-อะไรก็ได้ที่ง่ายๆ แล้วได้ปริญญา
  • ชาวบ้านกิตติมศักดิ์
  • คะแนนอนุรักษ์เพลง 2617
  • กระทู้: 546
  • Thank You
  • -Given: 2027
  • -Receive: 2617
เครดิต..http://www.stou.ac.th/study/sumrit/11-53(500)/page1-11-53(500).html
โดย...นางสาวชโลม  เพ็ชร์น้ำเงิน
แขวงบางพรม  เขตตลิ่งชัน  กรุงเทพฯ



          ดร.แม็กซ์ เบน นักวิจัยแห่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติได้กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้ ร่างกายของคนเราเต็มไปด้วยสารเคมี มีตัวเลขยืนยัน
 ว่าสารเคมีที่ใช้อยู่ในท้องตลาด 55,000 ชนิด มีอยู่ประมาณ 3,000 ชนิด ที่ถูกนำไปเจือปนในอาหาร และมากกว่า 7,000 ชนิด จะพบ
 ในน้ำดื่ม
           นอกจากนี้ ยังมีมลภาวะจากสิ่งแวดล้อม สิ่งที่มีพิษที่พบในที่ทำงานและในน้ำที่มีอยู่รอบ ๆ ตัวเราจึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องลด
 สิ่งที่เป็นพิษ ที่สะสมอยู่นี้ให้น้อยลง เพราะมันเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรา วิธีล้างพิษมีหลายวิธีดังนี้

1. หยุดรับประทานอาหาร หรือฟาสติ้ง (Fasting)
           การหยุดรับประทานอาหารให้ผลดีดังนี้คือ หลังจากอดอาหารเป็นเวลา 3 วัน ร่างกายจะเผาผลาญและย่อยเนื้อเยื่อของตนเอง โดย
 กรรมวิธีที่เรียกว่า ออโตไลซีส (autolysis) หรือย่อยตนเอง ซึ่งหมายถึงร่างกายจะทำลายเนื้อเยื่อที่ชำรุดเท่านั้น
           ในช่วงเวลาที่เราอดอาหารนี้ ความสามารถในการทำงานของปอด ไต ตับ และผิวหนังจะมีเพิ่มขึ้น ดังนั้น ของเสียจำนวนมากจึง
 ถูกขับออกจากร่างกายในระยะเวลาดังกล่าวนี้
           วิธีอดอาหารนี้นิยมกันมากตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ซึ่งระยะเวลาที่นิยมทำอาจเป็น 7 หรือ 14 หรือ 21 วัน
 ผู้ชำนาญในเรื่องนี้แนะนำว่า ในบางครั้งหากท่านมีสุขภาพที่สมบูรณ์ดี ก็อาจจะอดอาหารในระยะสั้นอยู่ที่บ้านได้ โดยไม่ต้องอยู่ในความ
 ควบคุมของแพทย์
           ผู้ป่วยที่ตั้งใจจะใช้การรักษาโดยการอดอาหารจะต้องได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดและต้องศึกษาประวัติสุขภาพของ
 ร่างกายระหว่างมีครรภ์และให้นมบุตร รวมทั้งผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ห้ามอดอาหาร
 เด็ดขาด
           ในระหว่างการอดอาหาร ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดในระหว่างวันที่ สองหรือสาม ไปจนถึงวันที่เจ็ดหรือสิบห้าของการอดอาหาร จะ
 เกิดสภาพความเป็นกรดขึ้นในเลือด อาจมีความผิดปรกติอย่างอื่นเกิดขึ้นได้ เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ความรู้สึกเก็บกดเกิดขึ้นทั้ง
 ทางกายและอารมณ์ เป็นต้น

วิธีการอดอาหาร
           วิธีที่ใช้กันมานสำหรับการอดอาหาร ก็คือการดื่มน้ำที่บริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว งดเครื่องดื่มอื่น ๆ ทุกชนิด แต่ในปัจจุบันนี้ที่นิยมกัน
 มากคือ วิธีอดอาหารโดยดื่มน้ำผลไม้ หรือ น้ำผักซึ่งคั้นสด ๆ หรือซุปผักซึ่งมีวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นและเอนไซม์ต่าง ๆ มากมาย สาร
 เหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่สายโลหิตโดยตรง โดยไม่ทำให้ระบบย่อยอาหารต้องทำงานหนักสารอาหารในน้ำผลไม้หรือผักนี้ จะไปทำให้
 กรรมวิธีการย่อยกลับคืนสู่สภาพปรกติ และทำให้ร่างกายมีสารอาหารเพิ่มขึ้น จนพอแก่ความต้องการจะรักษาตัวเองได้ เพราะน้ำผลไม้
 สด ๆ จัดอยู่ในประเภทด่างหรืออัลคาไลน์ ซึ่งก่อให้เกิดความสมดุลของกรดและด่างขึ้น

2. ใช้แปรงขัดผิวโดยใช้น้ำ หรือแปรงแห้ง
           การแปรงแห้งนั้นต้องใช้แปรงที่มีขนธรรมชาติอย่างดี อย่าใช้ประเภทสังเคราะห์เพราะอาจคมเกินไป อาจจะทำให้ผิวหนังเป็นรอย
 ได้ ควรใช้แปรงที่มีด้ามยาวพอที่จะแปรงได้ทั่วร่างกายให้เริ่มต้นจากหนังศีรษะ ให้แปรงอย่างแรง โดยแปรงเป็นวงกลมบนผิวหนังให้
 ตลอดทั่วตัว จนกระทั่งผิวเป็นสีชมพูอ่อนและมองดูมีเลือดฝาด ประมาณ 5-10 นาที ควรนวดตัวในตอนตื่นนอนทุกเช้า และตอนก่อน
 เข้านอน หลังการนวดขอแนะนำให้อาบน้ำเย็น ๆ เพื่อชำระล้างเซลล์ผิวหนังเก่า ๆ และพิษต่าง ๆ ให้หมดไป

3. วิตามิน ซี
           ในการชำระโลหะหนักออกจากร่างกายนั้น วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือวิธีคีเลขั่น (Chelation) โลหะหนัก ได้แก่ ปรอท ตะกั่ว แคดเมี่ยม
 และนิคเกิล ในกรณีที่พิษของโลหะหนักมีเพียงเล็กน้อยการฉีดวิตามินซีจะช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดีที่สุด นายแพทย์
 โจนาธาน ไรท์ แห่งเมืองเค้นท์ ในรัฐวอชิงตัน ใช้โซเดียมแอสคอเลท ซึ่งเป็นรูปหนึ่งของวิตามินซี ในการขจัดความเป็นพิษของสาร
 ตะกั่ว และยังได้ผลดีในกรณีที่ใช้ยาเกินขนาดอีกด้วย
           เมื่อร่างกายของเราได้รับสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เบนซิล คาร์บอนเตตร้าคลอไรด์ น้ำมันเบนซิลที่มีสารตะกั่ว
 ไฮโดรคาร์บอน จะมีผลให้ตับถูกทำลาย ตับมีหน้าที่ขจัดความเป็นพิษของสารเคมี และส่งต่อให้ไตขับออกจากร่างกาย ฉะนั้น เพื่อที่จะ
 รักษาตับให้มีสภาพดีอยู่เสมอ จึงต้องกินอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนและวิตามินซี รวมทั้งสารอาหารอื่น ๆ เช่น วิตามินเอ อี โคลีน และกรด
 อะมิโนที่มีกำมะถัน เพิ่มขึ้น


4. อบไอน้ำ
           ในปัจจุบัน การกำจัดการเป็นพิษโลหะหนัก นิยมใช้การอบไอน้ำแห้งมากกว่าอบไอน้ำเปียก บริษัทแรนด์คอปอเรชั่นประมาณการ
 เมื่อปี ค.ศ.1984 ว่า เมื่อถึงปี ค.ศ.2020 กรรมกรประมาณ 75,000 คน จะเสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดจากพิษของแอสเบสตอส สารพิษ เช่น
 พีบีบี (PBB) และพีซีบี (PCB) ทำให้อัตราการตายเพิ่มขึ้นทุกปี สารเคมีเหล่านี้จะไปสะสมในเนื่อเยื่อไขมัน ซึ่งทำอันตรายต่อระบบ
 ประสาทและอวัยวะอื่นๆ ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้
           วิธีการที่ใช้รักษากันที่คลินิกสุขภาพในเมืองซาคราเมนโตและลอสแองเจลิส ได้พิสูจน์แล้วว่า ให้ผลดีในการลดสารเคมีที่มีพิษมาก
 ที่สะสมอยู่ในร่างกายลง มีคนไข้เข้ารับการรักษา 1,500 คน โปรแกรมรักษานี้ใช้เวลารักษา 20 วัน

5. อาหารสมุนไพรแอนตี้ออกซิแดนท์
           กระเทียม นิยมใช้เป็นยารักษามาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลปัจจุบันยังคงใช้ในการลดความเป็นพิษในร่างกาย และยังมีฤทธิ์ขับ
 ปัสสาวะเป็นยากระตุ้น ขับเสมหะ และช่วยทำให้เหงื่อออกมาก กระเทียมที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เพ็นนิซิลินรัสเซีย หัวหอม ก็มีผลใน
 ทางลดความเป็นพิษเช่นเดียวกับกระเทียมหัวผักกาด ที่ชื่อว่า ฮอสแรดิช (horseradish) เป็นยาขับปัสสาวะที่ได้ผลดีชนิดหนึ่ง และใช้
 รักษาโรคไตซึ่งมีน้ำคั่งมากเกินไปด้วย วิธีนี้จึงเป็นทางช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะนี้ด้วย

6. ไม่นำสารพิษใหม่เข้า
           หลักการล้างพิษขั้นแรกสุดได้แก่ การไม่นำสารพิษใหม่เข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเลิกดื่มแอลกอฮอล์(เหล้า เบียร์ ไวน์...)
 เลิกบุหรี่ ยาบ้า ยาอีอะไรทำนองนี้ เรื่องบุหรี่นี่สำคัญมาก เพราะเป็นสารก่อมะเร็งอย่างแรง ไม่ควรสูบเอง และไม่สูดควันที่คนอื่นสูบเข้าไป
 เช่น ไม่ควรเข้าไปในห้องปรับอากาศที่มีการสูบบุหรี่ ฯลฯ

7. เลือกผักไร้สาร
           ถ้าเป็นไปได้... ควรเลือกผัก ผลไม้ชนิดปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ดีที่สุดคือปลูกเอง หรืออย่างน้อยล้างให้สะอาด แช่ผักในน้ำสะอาด
 หยดน้ำยาล้างจานไปเล็กน้อย (2-3 หยด) เติมน้ำส้มสายชู 2-3 ช้อนโต๊ะ เขย่าให้เข้ากัน ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
 หลายๆ ครั้ง

8. หวานน้อยๆ หน่อย
           อาหารพลังงานสูง โดยเฉพาะน้ำตาล น้ำหวาน เครื่องดื่มเติมน้ำตาลนี่...ถ้ากินเข้าไปมากเกินจะมีส่วนทำให้ร่างกายต้องทำงาน
 หนักมากเกิน ตั้งแต่ย่อย แปรรูป(ส่วนน้อยเก็บในรูปแป้ง ส่วนใหญ่สะสมเป็นไขมัน) เมื่อร่างกายทำงานแบบไร้สาระมากๆ จะเกิดของ
 เสียมาก เปลืองชีวิต


9. หลีกเลี่ยงอาหารปรุงสำเร็จ
           อาหารปรุงสำเร็จมักจะมีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ไขมันแปรรูป หรือไขมันทรานส์ ซึ่งเกิดจากการทอดซ้ำ ปรุงอาหาร
 ด้วยความร้อนสูง หรือขบวนการเติมไฮโดรเจนให้น้ำมันขุ่นข้น ละลายน้ำได้ดีขึ้น เช่น ครีมเทียม(มีมากในเบเกอรี่ ไอสกรีม คอฟฟี่เมต)
 ฯลฯ กินอาหารทำเองให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละ 1 มื้อ

10. ไม่เผาขยะ
           การเผาขยะที่บ้านทำให้เกิดมลภาวะ และสารก่อมะเร็ง ควรแยกขยะ ขยะที่ย่อยสลายได้นำไปทำปุ๋ยหมัก ขยะที่นำไปใช้ใหม่ได้
 เช่น ขวดพลาสติก ฯลฯ เก็บแยกไว้ แจกจ่ายให้คนเก็บของไปขาย ได้บุญด้วย ช่วยชาติด้วย

11. เดินเร็วๆ
           อาจารย์ นพ.รูท แม็กเฟอร์สัน ผู้อำนวยการคลินิกโรคไขมัน สถาบันหัวใจ มหาวิทยาลัยออตตาวากล่าวว่า การออกกำลังกาย เช่น
 เดินเร็ววันละ 30 นาที หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ฯลฯ ช่วยกระตุ้นการสร้างไลโปโปรตีนไลเปส เอนไซม์นี้ช่วยสลายไขมัน
 ไตรกลีเซอไรด์ ทำให้หลอดเลือดสะอาดขึ้น นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังช่วยลดไขมันส่วนเกินได้ด้วย

12. ออกกำลัง+ข้าวกล้อง
           HDL เป็นไขมันในเลือดชนิดดี ทำหน้าที่คล้ายรถเก็บ-กวาดขยะในเส้นเลือด ช่วยให้หลอดเลือดสะอาด การออกกำลังกาย และกิน
 ไนอะซีนให้เพียงพอมีส่วนช่วยเพิ่ม HDL อาหารที่มีไนอะซีนสูงได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังสีรำ(โฮลวีต)หรือขนมปัง
 ไม่ขัดสี

13. ปลาทะเล
           น้ำมันที่มีอยู่ในปลาทะเล เช่น แซลมอน ฯลฯ เป็นน้ำมันชนิดดีพิเศษ ช่วยลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ช่วยให้เส้นเลือดสะอาด


14. หายใจช้าๆ ลึกๆ
           หายใจช้าๆ ลึกๆ ช่วยล้างพิษจากความเครียด และช่วยให้การไหลเวียนของน้ำเหลืองดีขึ้น

15. กระโดดเชือก
           อาจารย์กิตเทิลแมนแนะนำให้ออกกำลังหนักหน่อย เช่น กระโดดเชือก ฯลฯ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลือง วิธีนี้อาจจะ
 ไม่เหมาะกับคนสูงอายุ ผู้เขียนแนะนำให้เดินเร็วแทน การออกกำลังกายมีส่วนช่วยให้ลำไส้บีบตัวสม่ำเสมอขึ้น ถ่ายง่ายขึ้น ช่วยล้างพิษภัย
 ออกจากลำไส้ได้ทุกวัน

16. ควบคุมน้ำหนัก
           ตับทำงานหนักมาก ฟอกเลือดหนักถึงชั่วโมงละ 86 ลิตร เราจึงไม่ควรดื่มเหล้า อาจารย์แพทย์หญิงอีฟ โรเบิร์ต ผู้เชี่ยวชาญโรค
 ตับแนะนำให้ควบคุมน้ำหนัก เพื่อป้องกันภาวะดื้อต่ออินซูลินในคนน้ำหนักเกิน ภาวะนี้มีส่วนทำให้ไขมันสะสมในตับ และทำลายตับได้ใน
 ระยะยาว ยิ่งถ้าอ้วนด้วยดื่ม(เหล้า)ด้วย ไขมันจะทำลายตับได้เร็วขึ้น

17. กินผักใบซ้อน
           ผักใบซ้อน เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี ฯลฯ มีส่วนช่วยให้ตับทำงานได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม

18. กินเส้นใย
           เส้นใย (fiber) ในอาหาร โดยเฉพาะข้าวกล้อง ผัก ถั่ว งา และผลไม้มีส่วนช่วยจับโคเลสเตอรอล ทำให้ลำไส้ดูดซึมโคเลสเตอรอล
 เข้าไปน้อยลง เส้นใยช่วยกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้บีบตัว ขับถ่ายของเสียได้ดี เส้นใยทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นไม้กวาดและไม้ถูพื้น คนที่กิน
 เส้นใยทุกวันจะได้ล้างพิษออกจากลำไส้ทุกวัน วิธีเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดคือ กินข้าวกล้องทุกวัน

19. โยเกิร์ต-กะหล่ำปลีดอง
           โยเกิร์ต นมเปรี้ยว และกะหล่ำปลีดอง เช่น กิมจิ ฯลฯ มีเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดี เชื้อเหล่านี้ช่วยต่อสู้กับเชื้อยีสต์ และแบคทีเรียก่อโรค
 ทำให้ภูมิต้านทานดีขึ้น โอกาสติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและช่องคลอดจะลดลงโดยปกติแล้วถ้าภายในร่างกายของเรามีของเสียและสาร
 พิษสะสมในปริมาณที่เป็นอันตรายถึงขั้นที่จะสามารถก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้ ร่างกายย่อมจะส่งสัญญาณเตือนออกมาให้เราได้รับ
 ทราบว่ามันกำลังต้องการความช่วยเหลือและความเอาใจใส่จากเรา เสมือนเป็นสัญญาณเพื่อบ่งบอกให้เราทราบล่วงหน้าว่าถึงเวลาที่เรา
 จะต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการล้างพิษเพื่อขับของเสียและสารพิษให้ออกไปจากร่างกาย ซึ่งมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้ • ร่างกายอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง เซื่องซึม หดหู่ใจ ไม่กระปรี้กระเปร่า
 • มีอาการของโรคภูมิแพ้ มักแพ้อะไรง่าย เช่น แพ้กลิ่นต่างๆ แพ้อากาศบ่อยๆ ฯลฯ
 • มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ทำให้ไม่สบายหรือเป็นหวัดได้ง่าย
 • ปวดศีรษะ มึนงงบ่อยๆ หรืออาจปวดถึงขั้นเป็นไมเกรน
 • มีสิวและผดผื่นขึ้น
 • นอนหลับยาก หรือรู้สึกว่านอนไม่พอ
 • มีกลิ่นปาก หรือมีแผลในช่องปาก
 • จุกเสียด แน่นท้อง ปวดท้องเป็นประจำ เนื่องจากระบบการย่อยอาหารมีปัญหา มักเป็นโรคเกี่ยวกับ
     กระเพาะอาหารและลำไส้
 • ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
 • ระบบขับถ่ายมีปัญหา ท้องผูกเป็นประจำ หรือท้องเสียง่าย เป็นริดสีดวงทวาร
 • เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
 • อารมณ์แปรปรวนง่าย ประสาทตึงเครียด
 • ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยง่าย ผิวแห้งและหยาบกร้าน ดูแก่กว่าวัย
 • มักปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อหรือข้อต่อต่างๆ
 • ขี้ลืม สมองไม่ปลอดโปร่ง คิดอะไรไม่ค่อยออก
 • ฯลฯ


           ร่างกายคนเราไม่ใช่เครื่องจักร การดูแลรักษาร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าสุขภาพเราไม่ดีแล้วจะทำการงานสิ่งใดก็ไม่ได้เลยและ
 ยังต้องเสียเงินมาจ่ายค่ายาราคาแพงอีกด้วย ถ้าเรารู้จักการดูแลรักษาร่างกายเป็นอย่างดีแล้ว จะทำการสิ่งใดเราก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้จัก
 ดำเนินชีวิต แม้ผิดพลั้งพลาดไปบ้างยังได้ชื่อว่าอย่างน้อยเราก็มีลาภอันประเสริฐอยู่กับตัว คือความไม่มีโรคนั่นเอง


บันทึกการเข้า
โชคอยู่ที่การแสวงหา วาสนาอยู่ที่การกระทำ
จงโง่บางโอกาส จงฉลาดบางเวลา
-

** กระทู้แรกที่ควรอ่านเมื่ออยู่บ้านเพลงไทย **